ความอ้วนทำร้ายผิวพรรณอย่างไร

16 มี.ค 2565 13:37:14จำนวนผู้เข้าชม : 558 ครั้ง

ความอ้วนนั้นจัดเป็นโรคที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของหลายอวัยวะในร่างกาย หนึ่งในนั้นคือ ผิวหนัง มาดูกันค่ะว่า อ้วนแล้วทำร้ายผิวได้อย่างไรบ้าง
          ไล่ตั้งแต่ชั้นนอกสุด คือ ชั้นปกป้องผิว พบว่าในคนอ้วนจะสูญเสียความแข็งแรงของชั้นปกป้องผิวไป ผิวสูญเสียความสามารถในการอุ้มน้ำ ส่งผลให้ผิวแห้งขาดความชุ่มชื้น ระคายเคืองหรือแดงง่าย ในขณะที่เซลล์ผิวหนังจะมีความเหนียวและเกาะตัวกันมากขึ้น ส่งผลให้การผลัดเซลล์ผิวไม่ดี ผิวพรรณจึงแลดูไม่สดใส
          ระบบเลือดฝอยเล็ก ๆ ที่มาเลี้ยงผิว หรือที่เรียกว่า Microcirculation ซึ่งเปรียบได้กับหัวฉีดน้ำที่คอยรดให้ความชุ่มชื้นกับผืนหญ้า จะไหลเวียนไม่ดีเท่ากับในคนผอม ส่งผลให้เลือดมาหล่อเลี้ยงเซลล์ผิวได้ไม่ดี การหายของแผลในคนอ้วนจึงไม่ดีเท่ากับในคนผอม
          ถัดเข้ามาที่ต่อมไขมัน พบว่า ในคนอ้วนจะมีความผิดปกติของฮอร์โมนแอนโดรเจน (ฮอร์โมนเพศ) และฮอร์โมนอินซูลิน ส่งผลให้ต่อมไขมันทำงานมากขึ้น หน้าจึงมันและเป็นสิวง่าย (ผิวแห้งไม่ชุ่มชื้น แต่ก็มัน และเกิดสิวง่ายไปพร้อม ๆ กัน) และในบางคนยังอาจมีขนดกขึ้น หรือที่เรียกว่า ภาวะ hirsutism ได้อีกด้วย
          ในผู้หญิงที่เป็นโรคอ้วน ร่วมกับซีสต์ที่รังไข่ จะมีปัญหาหน้ามัน ขนดก และสิวขึ้นมากผิดปกติเป็นลักษณะเด่น ซึ่งอาการทั้งหมดจะดีขึ้นได้หากลดน้ำหนักได้สำเร็จ
          นอกจากการเปลี่ยนแปลงของผิวข้างต้นแล้ว ยังมีโรคผิวหนังที่มักมากับโรคอ้วนอีกมากมาย เช่น รอยดำที่คอหรือข้อพับต่าง ๆ ขนคุด เซลลูไลท์ (ผิวเปลือกส้ม) รอยแตกลาย ติ่งเนื้อ เป็นต้น
          สรุปแล้วความอ้วนจัดเป็นศัตรูของผิวตัวฉกาจ การลดน้ำหนักได้จึงไม่เพียงแต่ช่วยให้สุขภาพภายในดี แต่ยังช่วยให้สุขภาพผิวพรรณภายนอกดูดีขึ้นตามไปด้วย ความแข็งแรงของผิวจะดีขึ้น ความมันบนใบหน้าจะลดลง ผิวพรรณเปล่งปลั่งขึ้น รอยดำตามข้อพับจางลง รวมไปถึงขนคุดและเซลลูไลท์ก็ดูดีขึ้นได้โดยไม่ต้องเสียเงินมากมายไปทำเลเซอร์ตามสถานเสริมความงาม

          รู้อย่างนี้แล้ว ... เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ เริ่มต้นที่ใจของคุณเองกันเถอะค่ะ

ขอขอบคุณ : พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล (หมอผิง)
                       Twitter: @thidakarn

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน
ในชุดโครงการ “รวมพลัง ขยับกาย สร้างสังคมไทย ไร้พุง”
เครือข่ายคนไทยไร้พุง ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย

สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)