สนใจทำการตลาดผ่านสื่อและบริการของเราติดต่อ 0926516944 , 02 4243434, 02 434 3434
ในยุคที่ “ความยั่งยืน” หรือ Sustainability เป็นเป้าหมายหลักของการพัฒนาทั่วโลกในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม เศรษฐกิจ หรือสิ่งแวดล้อม การนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมกำลังได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางทีมวิจัยจากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร นำโดย รศ.ดร.ภก.ธีรศักดิ์ โรจนราธา ประสบความสำเร็จในการพัฒนาต้นแบบวิธีวิเคราะห์คุณภาพยาที่ผลิตในโรงงานก่อนนำออกจำหน่าย โดยมุ่งเน้นความปลอดภัยต่อผู้ปฏิบัติงานวิเคราะห์และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่สำคัญงานวิจัยนี้เลือกใช้สารเคมีที่ผลิตภายในประเทศจากทรัพยากรท้องถิ่น ซึ่งไม่เพียงช่วยลดการนำเข้าสารเคมีราคาแพงจากต่างประเทศ แต่ยังสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียวหรือBCG (Bio-Circular-Green) economy ความสำเร็จนี้ไม่เพียงสะท้อนศักยภาพของงานวิจัยไทย แต่ยังแสดงบทบาทสำคัญของวิชาชีพเภสัชกรรมในการส่งเสริมความยั่งยืนทั้งในระดับประเทศและบนเวทีสากล
จากปัญหาที่ท้าทายสู่แนวทางสีเขียว
เป็นที่ยอมรับว่า เภสัชกรมีบทบาทสำคัญในการคิดค้น พัฒนา และผลิตเภสัชภัณฑ์ที่มีคุณภาพ เพื่อใช้ป้องกันและรักษาโรค ดังนั้นวิชาชีพเภสัชกรรมจึงเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable development goals, SDGs) ของสหประชาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป้าหมายข้อ 3 ซึ่งมุ่งเน้นการมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบคุณภาพยาในโรงงานก่อนการจำหน่าย ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการผลิตยา กลับเผชิญกับความท้าทายในการตอบสนองต่อเป้าหมายข้อ 12 ที่มุ่งเน้นการผลิตและบริโภคที่รับผิดชอบ เนื่องจากกระบวนการวิเคราะห์ยาส่วนใหญ่ยังคงใช้สารเคมีที่อาจเป็นอันตราย ก่อให้เกิดของเสียที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมเพื่อแก้ปัญหานี้ นักวิจัยและนักเคมีวิเคราะห์จึงได้ประยุกต์ใช้แนวคิดเคมีสีเขียว (Green chemistry) โดยลดปริมาณการใช้สารเคมีอันตราย และเลือกใช้สารที่ปลอดภัยมากกว่าหรือมาจากแหล่งธรรมชาติ เช่นผลิตภัณฑ์ชีวภาพ (Bio-based products) ที่ผลิตจากผลผลิตหรือวัสดุเหลือใช้ในภาคเกษตรกรรมโดยในปัจจุบันมีการนำตัวทำละลายที่ค่อนข้างปลอดภัยและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย หรือ Green solvents ชนิด Bio-based เช่นอะซิโตน (Acetone) เอทานอล (Ethanol) เอ็น-บิวทานอล (n-Butanol) หรือเอทิลอะซีเทต (Ethyl acetate) มาใช้แทนตัวทำละลายที่ไม่ปลอดภัยหรือได้มาจากกระบวนการทางปิโตรเคมีซึ่งต้องอาศัยสารตั้งต้นในการผลิตที่ใช้แล้วหมดไป
เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) 17 เป้าหมาย โดยสหประชาชาติ
พัฒนาวิธีวิเคราะห์ยาลดผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
ทีมวิจัยของคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร นำโดย รศ.ดร.ภก. ธีรศักดิ์ โรจนราธา ในฐานะหัวหน้าโครงการ ร่วมด้วย ดร.ภก. ธนา ธนายุตสิริ (นักวิจัยหลังปริญญาเอก) และนักศึกษาเภสัชศาสตร์ ได้แก่ นศภ.ศิวะ มันตาดิลกนศภ.จิระเดช ทรัพย์สินและ นศภ.ธาดา ตั้งวัธนวิบูลย์ ได้พัฒนาแนวทางใหม่ในการวิเคราะห์หาปริมาณยาด้วยเทคนิคโครมาโทกราฟีของเหลวสมรรถนะสูง (HPLC) โดยมุ่งเน้นการลดผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมงานวิจัยนี้ให้ความสำคัญกับการหลีกเลี่ยงการใช้ตัวทำละลายที่มีความเป็นพิษเช่นเมทานอล (Methanol) หรืออะซีโทไนไทรล์ (Acetonitrile) ซึ่งแม้ว่าจะเป็นตัวทำละลายที่นิยมใช้สำหรับการวิเคราะห์ยาตามวิธีในตำรายาสากล เช่น United States Pharmacopeia (USP) และ British Pharmacopoeia (BP) เนื่องจากคุณสมบัติที่เหมาะสมในงานวิเคราะห์ แต่กลับมีผลกระทบด้านลบที่ไม่ควรมองข้าม โดยเมทานอลส่งผลต่อระบบประสาทส่วนกลางและอาจเป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำแม้จะสลายตัวได้ในธรรมชาติ ขณะที่อะซีโทไนไทรล์ไม่เพียงก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจและส่งผลกระทบต่อระบบประสาทแต่ยังสามารถปลดปล่อยแก๊สไฮโดรเจนไซยาไนด์ (Hydrogen cyanide) ซึ่งเป็นสารพิษอันตรายร้ายแรง หากของเสียที่มีสารนี้ถูกกำจัดโดยการเผา
ทีมวิจัยของคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ประกอบด้วย (นั่ง จากซ้ายไปขวา) ดร.ภก. ธนา ธนายุตสิริ,รศ.ดร.ภก. ธีรศักดิ์ โรจนราธา นศภ.ธาดา ตั้งวัธนวิบูลย์ (ยืน จากซ้ายไปขวา) นศภ.จิระเดช ทรัพย์สินและ นศภ.ศิวะ มันตาดิลก
เพื่อสร้างต้นแบบวิธีวิเคราะห์ยาที่ปลอดภัยต่อผู้ปฏิบัติงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทีมวิจัยได้เลือกการวิเคราะห์หาปริมาณยาแอสไพรินในยาเม็ดเป็นกรณีศึกษาและใช้เอทานอลเป็นส่วนผสมในเฟสเคลื่อนที่ (mobile phase) ในระบบ HPLC แทนเมทานอลหรืออะซีโทไนไทรล์เนื่องจากเอทานอลมีผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมน้อยกว่า แม้ว่าปัจจุบันการนำเอทานอลมาใช้ในเทคนิค HPLC ยังไม่แพร่หลายเมื่อเทียบกับเมทานอลหรืออะซีโทไนไทรล์อันเนื่องมาจากข้อจำกัด เช่น ความหนืดที่สูงกว่า หรือการดูดกลืนแสงในช่วงความยาวคลื่นที่อาจรบกวนการวิเคราะห์สารที่สนใจ อย่างไรก็ตาม ทีมวิจัยสามารถพัฒนาระบบและแก้ไขข้อจำกัดดังกล่าวได้สำเร็จ ผลลัพธ์ที่ได้คือวิธีวิเคราะห์แบบใหม่ที่สามารถแยกตัวยาแอสไพรินออกจากสารสลายตัวและสารปรุงแต่งในยาเม็ดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถวิเคราะห์หาปริมาณยาแอสไพรินได้อย่างถูกต้องและแม่นยำเทียบเท่าวิธีมาตรฐานตามตำรายาซึ่งใช้เมทานอลหรืออะซีโทไนไทรล์เมื่อประเมินโดยเครื่องมือ Analytical GREEnness metric (AGREE) พบว่าวิธีใหม่ซึ่งใช้เอทานอล ได้คะแนน 0.65 ขณะที่วิธีมาตรฐานของ USP และ BP ได้คะแนน 0.54 และ 0.57 ตามลำดับ ซึ่งคะแนนที่สูงกว่าสะท้อนถึงความปลอดภัยและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่าอย่างชัดเจน นอกจากนี้ วิธีใหม่ยังช่วยลดระยะเวลาการวิเคราะห์เหลือเพียง 5 นาทีต่อหนึ่งตัวอย่าง ซึ่งรวดเร็วกว่าวิธีมาตรฐานที่อาจใช้เวลามากกว่า 10 นาที
ความสำเร็จของงานวิจัยนี้ได้รับการยอมรับในวงการวิทยาศาสตร์ โดยผลการศึกษาถูกตีพิมพ์เผยแพร่ในบทความวิจัยเรื่อง“Development of a green and rapid ethanol-based HPLC assay for aspirin tablets and feasibility evaluation of domestically produced bioethanol in Thailand as a sustainable mobile phase”(ลิงก์สำหรับเข้าถึงและอ่านบทความออนไลน์ https://doi.org/10.1515/gps-2024-0200) ในปี 2568 ในวารสารGreen Processing and Synthesisซึ่งเป็นวารสารวิชาการระดับนานาชาติที่มีคุณภาพสูงและจัดอยู่ใน Quartile 1 (Q1) ของฐานข้อมูล Scopusสะท้อนถึงคุณภาพ ความน่าเชื่อถือ และศักยภาพของนักวิจัยไทยในการพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ด้านความปลอดภัยต่อสุขภาพและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ต่อยอดและเพิ่มโอกาส โดยใช้ไบโอเอทานอลไทย
การนำ“ไบโอเอทานอลที่ผลิตได้ในประเทศไทย” มาใช้ในการวิเคราะห์ยาถือเป็นจุดเด่นสำคัญของงานวิจัยนี้ โดย รศ.ดร.ภก. ธีรศักดิ์ โรจนราธา ได้กล่าวถึงที่มาของแนวคิดนี้ว่า “ประเทศไทยมีศักยภาพในการผลิตผลิตภัณฑ์ชีวภาพหลายชนิดในระดับอุตสาหกรรม หนึ่งในนั้นคือ ไบโอเอทานอล ซึ่งจากรายงานของ Statista ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ที่รวบรวมข้อมูลและสถิติเกี่ยวกับอุตสาหกรรมทั่วโลก ในปี 2567 ไทยสามารถผลิตไบโอเอทานอลได้มากเป็นลำดับที่ 7 ของโลก โดยใช้วัตถุดิบหลักที่มีในประเทศ ได้แก่กากน้ำตาลมันสำปะหลัง และอ้อย ไบโอเอทานอลที่ผลิตได้ส่วนใหญ่ถูกใช้เป็นส่วนผสมในน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ เช่น E20 หรือ E85 อย่างไรก็ตาม ยังไม่เคยมีการนำไบโอเอทานอลที่ผลิตในประเทศไปใช้ในงานวิเคราะห์สารทางเคมี โดยเฉพาะในเทคนิคที่ต้องการตัวทำละลายที่มีความบริสุทธิ์สูง เช่น HPLC เนื่องจากห้องปฏิบัติการส่วนใหญ่ยังต้องพึ่งพาเอทานอลเกรด HPLC นำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งมีราคาสูง จากปัญหา ความท้าทาย และโอกาสดังกล่าว ทีมวิจัยจึงไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการพัฒนาต้นแบบการวิเคราะห์ยาแบบสีเขียว โดยเปลี่ยนไปใช้เอทานอลแทนตัวทำละลายที่ไม่ปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังได้ศึกษาความเป็นไปได้ในการนำไบโอเอทานอลที่ผลิตในประเทศไทยมาใช้ในงานวิเคราะห์เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้า งานวิจัยนี้จึงเป็นการบูรณาการที่ครอบคลุมทั้งด้านการพัฒนาเทคนิคเชิงวิชาการและการส่งเสริมการใช้ทรัพยากรในประเทศ ซึ่งยังไม่เคยมีการศึกษาในเชิงลึกมาก่อน”
ผลการศึกษาการใช้ไบโอเอทานอลที่มีความบริสุทธิ์สูง (มีปริมาณเอทานอลมากกว่าร้อยละ 99.5) ของผู้ผลิตในประเทศ ได้แก่ บริษัทมิตรผลไบโอฟูเอล จำกัด บริษัทอุบลไบโอเอทานอล จำกัด (มหาชน) บริษัทอีเอสเพาเวอร์ จำกัด และบริษัทราชบุรีเอทานอล จำกัด พบว่าไบโอเอทานอลจากผู้ผลิตเหล่านี้สามารถนำมาใช้สำหรับการวิเคราะห์สารได้อย่างมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับเอทานอลเกรด HPLC ของต่างประเทศ จึงเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับทดแทนการนำเข้าเอทานอล ทั้งยังช่วยลดต้นทุนการวิเคราะห์ลงได้อย่างมาก โดยไบโอเอทานอลในประเทศมีราคาประมาณลิตรละ 30-40 บาท ในขณะที่เอทานอลเกรด HPLC นำเข้ามีราคาสูงกว่าเกือบ 10 เท่า
ในด้านเศรษฐกิจและสังคม การส่งเสริมการใช้ไบโอเอทานอลของไทยมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนเศรษฐกิจ BCG โดยช่วยสร้างงานให้กับเกษตรกรและผู้ผลิตในประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมาย SDGs ข้อ 8 ที่มุ่งส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง ครอบคลุม และยั่งยืน รวมถึงการจ้างงานและการมีงานที่มีคุณค่าสำหรับทุกคนผลการวิจัยนี้จึงไม่เพียงพิสูจน์ให้เห็นคุณภาพของไบโอเอทานอลไทย แต่ยังได้เสนอแนวทางใหม่ในการใช้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เพื่อนำไปสู่ความสามารถในการพึ่งพาตนเองและความยั่งยืนทางเศรษฐกิจของประเทศ
Graphical abstract แสดง Concept ของงานวิจัยที่เผยแพร่ร่วมกับบทความซึ่งตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ Green Processing and Synthesis ปีที่ 15 (2025) ฉบับที่ 1
นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังสนับสนุนการใช้ผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์จากผู้ผลิตในประเทศ โดยเลือกใช้อุปกรณ์สำคัญในการวิเคราะห์ ได้แก่ คอลัมน์ HPLC ชนิด C18 ของบริษัทเวอร์ติคอลโครมาโตกราฟี จำกัด ซึ่งสามารถใช้แยกและวิเคราะห์สารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลการทดลองแสดงถึงความถูกต้องและแม่นยำของการวิเคราะห์ และการคงประสิทธิภาพการใช้งานที่สม่ำเสมอ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมไทยในการผลิตอุปกรณ์ที่มีคุณภาพและตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สร้างความร่วมมือและสร้างคน สู่ความยั่งยืน
นอกเหนือจากความสำเร็จในการพัฒนาความก้าวหน้าทางวิชาการ พร้อมกับความใส่ใจสิ่งแวดล้อมและการส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศ งานวิจัยนี้ยังเป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงพลังแห่งความร่วมมือจากหลายภาคส่วนในสังคม ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ข้อ 17 ที่เน้นการสร้างกลไกความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งนี้งานวิจัยได้รับการสนับสนุนจากหลายองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการอนุเคราะห์ตัวอย่างผลิตภัณฑ์จากบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมไบโอเอทานอลในประเทศ ผ่านการประสานงานของสมาคมการค้าผู้ผลิตเอทานอลไทยซึ่งทำหน้าที่เชื่อมโยงบริษัทผู้ผลิตเหล่านี้กับทีมนักวิจัยของคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ตลอดจนการได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากบริษัทเวอร์ติคอลโครมาโตกราฟีจำกัดบริษัทเอพเพนดอร์ฟ (ประเทศไทย)และมูลนิธิอาจารย์เกษม ปังศรีวงศ์ ซึ่งเป็นองค์กรที่มุ่งส่งเสริมวิชาชีพเภสัชกรรมคุณเจษฎา ว่องวัฒนะสิน นายกสมาคมการค้าผู้ผลิตเอทานอลไทย ได้ให้ความเห็นว่า “โครงการวิจัยนี้ถือเป็นความก้าวสำคัญที่เชื่อมโยงอุตสาหกรรมไบโอเอทานอลไทยเข้ากับอุตสาหกรรมยาในมิติที่ไม่เคยมีมาก่อน ผลการศึกษาที่พิสูจน์คุณภาพของไบโอเอทานอลไทยให้เป็นที่ประจักษ์ ว่าสามารถนำไปใช้กับงานที่มีความซับซ้อนและละเอียดสูงได้ ไม่เพียงแต่ช่วยส่งเสริมผู้ผลิตในประเทศ แต่ยังส่งผลเชิงบวกต่อวงการวิทยาศาสตร์และวิจัยในวงกว้างอีกด้วย”
นอกเหนือจากการสร้างความร่วมมือที่กล่าวมาโครงการวิจัยยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาคนรุ่นใหม่ โดยเปิดโอกาสให้นักศึกษาเภสัชศาสตร์ระดับปริญญาตรีเข้าร่วมในโครงการจุลนิพนธ์ (Senior project) เพื่อพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหาผ่านการทำวิจัยควบคู่ไปกับการปลูกฝังจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมและการตระหนักถึงคุณค่าของผลิตภัณฑ์และทรัพยากรในประเทศ นศภ. ธาดา ตั้งวัธนวิบูลย์ นักศึกษาเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร หนึ่งในทีมวิจัย ได้กล่าวว่า“เป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจและภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนานวัตกรรมทางเภสัชศาสตร์ซึ่งช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยได้นำความรู้ด้านเภสัชวิเคราะห์ที่เรียนมาประยุกต์ใช้ นอกจากนี้ยังได้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมไบโอเอทานอลของประเทศ การเรียนรู้โดยการทำวิจัยและการทำงานร่วมกับเพื่อน อาจารย์ที่ปรึกษา และนักวิจัยท่านอื่นๆทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้และได้เห็นมุมมองที่หลากหลาย เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาศักยภาพของตนเอง และเตรียมความพร้อมสำหรับการทำงานในอนาคต”
ผลจากการดำเนินงานของโครงการวิจัยโดยใช้แนวทางนี้ แสดงให้เห็นว่า ความร่วมมือที่เข้มแข็งและการมุ่งมั่นในการพัฒนาคน ไม่เพียงช่วยให้งานวิจัยบรรลุผลสำเร็จ แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความยั่งยืนในทุกมิติอย่างแท้จริง
การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของนักศึกษาในงานวิจัย เป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินงานของโครงการวิจัย ที่มุ่งพัฒนาคนเพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ความยั่งยืน
บทวิเคราะห์สรุป
ผลงานวิจัยของคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นมากกว่าความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ หากยังเป็นต้นแบบที่ชัดเจนของการพัฒนาที่ยั่งยืนแบบองค์รวม โครงการนี้โดดเด่นด้วยการผสานเป้าหมายหลายมิติ ตั้งแต่การพัฒนากระบวนการหรือนวัตกรรมที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม การสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจและสังคมโดยส่งเสริมการใช้ทรัพยากรภายในประเทศ การบูรณาการความร่วมมือจากหลายภาคส่วนในสังคมและการส่งต่อองค์ความรู้และประสบการณ์ให้แก่คนรุ่นใหม่เพื่อสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพความสำเร็จนี้จึงไม่ได้ตอบโจทย์เพียงแค่ปัจจุบัน แต่ยังวางรากฐานสำหรับมาตรฐานใหม่ในการผลิตยาที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน และสะท้อนบทบาทสำคัญของวิชาชีพเภสัชกรรมไทยในการผลักดันสังคมไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน