กลั้นปัสสาวะไม่อยู่

12 มี.ค 2568 11:51:07จำนวนผู้เข้าชม : 26 ครั้ง

บทความโดย นพ. วิทวัส ไทยเจริญพร
ศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะ

 


กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ (Urinary incontinence) คือการมีปัสสาวะเล็ดออกมานอกร่างกายโดยไม่ได้ตั้งใจ สามารถแบ่งภาวะนี้ได้เป็นหลายประเภท วิธีรักษาภาวะนี้จะพิจารณาตามความรุนแรง ประเภท และสาเหตุ นอกจากนี้ อาจต้องใช้หลายวิธีร่วมกันรักษา


ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่คืออะไร
ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่คือการมีปัสสาวะเล็ดออกมานอกร่างกายโดยไม่ได้ตั้งใจ สามารถแบ่งภาวะนี้ได้เป็นหลายประเภท เมื่อมีภาวะนี้ ผู้ป่วยจะปัสสาวะออกมาโดยควบคุมไม่ได้ ส่วนมากผู้ที่กลั้นปัสสาวะไม่อยู่จะปัสสาวะประมาณ 8 ครั้งต่อวันหรือมากกว่านั้น รวมถึงปัสสาวะในเวลากลางคืนหลายครั้ง


ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่แบ่งออกเป็นหลายประเภท ดังนี้
• อาการปัสสาวะเล็ดขณะออกแรง (Stress Incontinence) เป็นภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ที่เกิดจากการมีแรงดันเพิ่มขึ้นที่กระเพาะปัสสาวะ ไม่ว่าจะจากการไอ หัวเราะ หรือขณะทำกิจกรรมต่างๆ
• อาการปัสสาวะราดทันที (Urge Incontinence หรือ Urgency Incontinence) เป็นภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ที่เกิดขึ้นเมื่อรู้สึกปวดปัสสาวะฉับพลันและไปไม่ถึงห้องน้ำก่อนที่ปัสสาวะราดออกมา
• ปัสสาวะเล็ดและราดร่วมกัน (Mixed Incontinence) เป็นภาวะที่มีอาการปัสสาวะเล็ดขณะออกแรงร่วมกับอาการปัสสาวะราดทันที โดยกว่าร้อยละ 30-50 ของผู้หญิงที่มีอาการปัสสาวะราดทันที จะมีอาการปัสสาวะเล็ดขณะออกแรงร่วมด้วย
• ปัสสาวะล้น (Overflow Incontinence) เกิดจากการที่ไม่สามารถปัสสาวะจนหมดกระเพาะได้ ทำให้กระเพาะปัสสาวะมีปริมาณปัสสาวะล้น จนปัสสาวะเล็ดออกมาโดยไม่ตั้งใจ


กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ มีสาเหตุเกิดจากอะไร
กลั้นปัสสาวะไม่อยู่เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ตั้งแต่กิจกรรมที่ทำในทุกวันไปจนถึงอาการป่วยที่มีหรือปัญหาทางกายอื่นๆ การตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดโดยผู้เชี่ยวชาญอาจช่วยระบุสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ได้


กลั้นปัสสาวะไม่อยู่แบบชั่วคราว
สาเหตุของการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ชั่วคราว ส่วนมากมาจากอาหาร เครื่องดื่ม ยา อาการท้องผูก และการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
• อาหาร เครื่องดื่ม และยาที่อาจทำให้เกิดภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
- แอลกอฮอล์
- สารให้ความหวานแทนน้ำตาล
- คาเฟอีน
- น้ำอัดลมและโซดา
- ช็อกโกแลต
- พริก
- วิตามินซี (ปริมาณมาก)
- ยาบางชนิดในกลุ่มยารักษาโรคหัวใจและความดันโลหิต ยาคลายกล้ามเนื้อ และยากล่อมประสาท
• อาการทางกายบางอาการอาจก่อให้เกิดภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
  * การติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ: การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะทำให้เกิดการระคายเคือง ส่งผลให้รู้สึกปวดปัสสาวะฉับพลัน หรือกระทั่งการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
  * ท้องผูก: เนื่องจากไส้ตรงกับกระเพาะปัสสาวะมีระบบประสาทร่วมกัน อาการท้องผูกอาจทำให้กระเพาะปัสสาวะทำงานไวเกินปกติ


กลั้นปัสสาวะไม่อยู่เป็นประจำ
ส่วนมากสาเหตุของภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่เป็นประจำคืออาการทางสุขภาพและปัจจัยอื่นๆ ได้แก่
• การตั้งครรภ์: อาการปัสสาวะเล็ดขณะออกแรงเกิดขึ้นในผู้หญิงที่ตั้งครรภ์โดยมีสาเหตุจากระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงและน้ำหนักของลูกในครรภ์ที่เพิ่มขึ้น
• การคลอดบุตร: การคลอดธรรมชาติทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอลง ส่งผลให้ควบคุมการทำงานของกระเพาะปัสสาวะได้แย่ลง จนกระทั่งอุ้งเชิงกรานหย่อนตัว เมื่ออุ้งเชิงกรานหย่อนตัว กระเพาะปัสสาวะ ลำไส้เล็ก และมดลูกอาจยื่นไปในช่องคลอด ทำให้กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
• อายุ: เมื่ออายุมากขึ้น ปริมาณปัสสาวะที่กระเพาะปัสสาวะจุได้จะลดลง กระเพาะปัสสาวะจะบีบตัวโดยไม่ตั้งใจมากขึ้น
• วัยหมดประจำเดือน: หลังเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนจะลดลง ส่งผลให้เยื่อบุกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะแข็งแรงน้อยลง ทำให้เยื่อบุเสื่อมสภาพ ซึ่งการเสื่อมสภาพนี้เองทำให้เกิดภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
• ปัญหาที่ต่อมลูกหมาก: โรคต่อมลูกหมากโตอาจเป็นสาเหตุของภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในผู้ชายสูงวัย นอกจากนี้ การรักษามะเร็งต่อมลูกหมากยังสัมพันธ์กับอาการปัสสาวะเล็ดขณะออกแรงและอาการปัสสาวะราดทันทีด้วย
• การอุดตัน: เมื่อมีสิ่งมาอุดตันทางเดินปัสสาวะ อาจทำให้ปัสสาวะได้น้อยลง ส่งผลให้เกิดภาวะปัสสาวะล้น นอกจากนี้ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะอาจทำให้กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เพราะนิ่วจะระคายเคืองกระเพาะปัสสาวะ
• โรคทางระบบประสาท: โรคหลอดเลือดสมอง โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง โรคพาร์กินสัน อาการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลัง รวมถึงเนื้องอกในสมองอาจปิดกั้นการส่งสัญญาณที่มีส่วนในการควบคุมการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ ส่งผลให้อาจกลั้นปัสสาวะไม่อยู่


ปัจจัยอื่นที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
• โรคเบาหวาน
• การตัดมดลูกหรือการผ่าตัดเชิงกราน
• การสูบบุหรี่
•การฉายรังสีรักษาโรคที่เชิงกราน


กลั้นปัสสาวะไม่อยู่มีอาการอย่างไร
อาการหลักของภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่คือ การมีปัสสาวะเล็ดหรือปัสสาวะราดจากกระเพาะปัสสาวะโดยควบคุมไม่ได้ ไม่ว่าปริมาณที่ออกมาจะน้อยหรือมากจนไม่เหลือปัสสาวะค้างในกระเพาะปัสสาวะ โดยปัสสาวะอาจเล็ดเมื่อหัวเราะ ไอ จาม หรือออกกำลังกาย
อาการอื่นๆ ที่อาจพบร่วมกับภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ได้แก่
   •ปัสสาวะบ่อย (เกิน 8 ครั้งต่อวัน)
   •ตื่นตอนกลางคืนมากกว่า 1 ครั้ง เพื่อมาปัสสาวะ (ภาวะลุกมาปัสสาวะตอนกลางคืน หรือ Nocturia)
   •ปัสสาวะรดที่นอนในตอนกลางคืน


กลั้นปัสสาวะไม่อยู่อาการแทรกซ้อนมีอะไรบ้าง
อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ที่เกิดขึ้นเรื้อรังอาจทำให้เกิดอาการแทรกซ้อน ดังนี้
   •ผื่น การติดเชื้อที่ผิวหนัง และอาการปวดที่เกิดขึ้นเพราะผิวหนังเปียกตลอดเวลา
   •เสี่ยงที่จะติดเชื้อซ้ำๆ ในทางเดินปัสสาวะมากขึ้น


ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ มีวิธีการตรวจวินิจฉัยอย่างไร
แพทย์อาจตรวจส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น อุ้งเชิงกรานหรือต่อมลูกหมาก เพื่อให้วินิจฉัยได้แม่นยำ วิธีการตรวจที่ใช้วินิจฉัยภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ได้แก่ การตรวจอัลตราซาวด์ช่องท้อง การส่องกล้องกระเพาะปัสสาวะ การตรวจปัสสาวะ และการตรวจทางยูโรพลศาสตร์ เช่น การตรวจปริมาณปัสสาวะเหลือค้างหลังปัสสาวะ


ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ มีวิธีการรักษาอย่างไร
แพทย์จะพิจารณาวิธีรักษาจากความรุนแรงของอาการ ประเภทของการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ และสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ นอกจากนี้ การรักษาอาจใช้หลายวิธีร่วมกัน โดยถ้ามีอาการหรือโรคอื่นที่ส่งผลให้เกิดภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ แพทย์จะทำการรักษาอาการหรือโรคนั้นก่อน


แพทย์อาจเริ่มด้วยวิธีการรักษาที่ไม่มีการล่วงล้ำร่างกาย (Noninvasive)หรือล่วงล้ำน้อยก่อน หากวิธีเหล่านั้นรักษาไม่ได้ผล อาจรักษาด้วยการผ่าตัดหรือวิธีอื่นๆ


 

วิธีรักษาภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ มีอะไรบ้าง
การรักษาภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เชิงพฤติกรรม
   • การฝึกควบคุมการถ่ายปัสสาวะ: การฝึกนี้ช่วยเรื่องการกลั้นปัสสาวะหลังจากรู้สึกปวดปัสสาวะ โดยจะเริ่มจากการพยายามกลั้นปัสสาวะเป็นเวลา 10นาที เป้าหมายของการฝึกคือการลดจำนวนครั้งในการปัสสาวะต่อวันเหลือเพียงทุกๆ 2 ถึง 3ชั่วโมงครึ่ง
   • การถ่ายปัสสาวะซ้ำ: วิธีนี้เป็นการฝึกให้ปัสสาวะ 2 ครั้งเพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดปัสสาวะล้น
   • การกำหนดเวลาเข้าห้องน้ำ: วิธีนี้เป็นการฝึกปัสสาวะตามช่วงเวลาที่กำหนดในทุก ๆ 2-4ชั่วโมงเพื่อไม่ให้มีปริมาณปัสสาวะค้างในกระเพาะปัสสาวะมากเกินไป
   • การควบคุมอาหารและเครื่องดื่ม: วิธีนี้ช่วยในเรื่องการควบคุมการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ ให้ลดการบริโภคเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ คาเฟอีน หรืออาการที่มีความเป็นกรดสูง ทั้งนี้ การลดน้ำหนักและออกกำลังกายยังช่วยบรรเทาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่เช่นกัน


การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน รักษาภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานช่วยเสริมความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อที่ดูแลในเรื่องการปัสสาวะ การบริหารนี้รู้จักในชื่อการออกกำลังกายคีเกล (Kegel) โดยช่วยบรรเทาอาการปัสสาวะเล็ดขณะออกแรงและปัสสาวะราดทันทีได้
ขั้นตอนในการออกกำลังคีเกล มีดังนี้
• ขมิบหรือเกร็งกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานเสมือนว่ากำลังกลั้นปัสสาวะอยู่ ค้างไว้ 5 วินาที จากนั้นคลายกล้ามเนื้อเป็นเวลา 5 วินาที (หากรู้สึกว่ายากไป อาจเริ่มด้วยการเกร็งกล้ามเนื้อ 2 วินาที และคลายกล้ามเนื้อ 3 วินาที)
• ทำขั้นตอนแรกซ้ำจนสามารถเกร็งได้ถึง 10 วินาที
• ทุกๆ 10 ครั้งนับเป็น 1 รอบ ในแต่ละวันให้ทำให้ครบ 3 รอบ
การตรวจวัดการตอบสนองของร่างกาย (Biofeedback) ช่วยให้ทราบได้ว่าเกร็งกล้ามเนื้อได้ดีระดับใด หรือเกร็งกล้ามเนื้อถูกมัดหรือไม่


การรักษาภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ด้วยยา
ยาที่นิยมใช้รักษาภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ได้แก่
• ยากลุ่ม Alpha-blocker: ยากลุ่มนี้ช่วยคลายกล้ามเนื้อคอกระเพาะปัสสาวะของผู้ชายที่มีภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่หรือปัสสาวะล้น ช่วยให้ปัสสาวะจนหมดกระเพาะได้ง่ายขึ้น
• ยากลุ่ม Anticholinergic: ยากลุ่มนี้ใช้รักษาการทำงานไวเกินไปของกระเพาะปัสสาวะและรักษาอาการปัสสาวะราดทันที
• ยามิราเบกรอน (Mirabegron): ยาชนิดนี้ช่วยคลายกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ ช่วยให้ผู้ที่มีอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ปัสสาวะได้ในปริมาณที่มากขึ้น อีกทั้งยังรักษาอาการปัสสาวะราดทันทีได้
• ยาเอสโตรเจนชนิดทาเฉพาะที่: ยาเอสโตรเจนช่วยฟื้นฟูสภาพเนื้อเยื่อในทางเดินปัสสาวะและเนื้อเยื่อบริเวณช่องคลอด โดยมีทั้งแบบครีม แผ่นแปะ และแบบห่วง
อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ช่วยรักษาภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในผู้หญิง
•ห่วงช่วยพยุงในช่องคลอด: ห่วงพยุงช่องคลอดเป็นอุปกรณ์ที่สอดเข้าไปที่มดลูกเพื่อช่วยพยุงทางเดินปัสสาวะ


รักษาภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ด้วยการผ่าตัด
หากการรักษาประเภทอื่นไม่ได้ผล แพทย์อาจทำการผ่าตัดเพื่อรักษาภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ การผ่าตัดชนิดต่างๆ ที่ใช้รักษาภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ มีดังนี้
• การผ่าตัดใส่หูรูดท่อปัสสาวะเทียม (Artificial Urinary Sphincter): วิธีนี้จะฝังอุปกรณ์ไว้ที่คอกระเพาะปัสสาวะเพื่อทำหน้าที่ปิดหูรูดกระเพาะปัสสาวะจนกว่าจะรู้สึกปวดปัสสาวะ และเมื่อรู้สึกปวดปัสสาวะ ให้กดวาล์วที่ฝังไว้ใต้ผิวหนังเพื่อทำให้อุปกรณ์แฟบลง เปิดทางให้ปัสสาวะจากกระเพาะปัสสาวะไหลออกมาได้
• การผ่าตัดยกเนื้อเยื่อรอบคอกระเพาะปัสสาวะ (Bladder Neck Suspension): เป็นวิธีที่พยุงทางเดินปัสสาวะและคอกระเพาะปัสสาวะ
• การผ่าตัดรักษาด้วยสายคล้อง (Sling Procedure): วิธีนี้จะใช้วัสดุสังเคราะห์หรือเนื้อเยื่อของร่างกายมาทำเป็นสายคล้องเพื่อปิดทางเดินปัสสาวะเมื่อมีการไอหรือจาม เป็นวิธีที่ใช้รักษาอาการปัสสาวะเล็ดขณะออกแรงได้
• การผ่าตัดแก้ไขการหย่อนตัว (Prolapse surgery): แพทย์อาจใช้การผ่าตัดรักษาด้วยสายคล้องร่วมกับการผ่าตัดแก้ไขการหย่อนตัวเพื่อรักษาอวัยวะในอุ้งเชิงกรานหย่อนและอาการปัสสาวะเล็ดราด


แผ่นรองซับและสายสวนปัสสาวะ
หากวิธีรักษาทางการแพทย์ไม่สามารถรักษาภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ได้ อาจลองใช้ผลิตภัณฑ์ เช่น สายสวนปัสสาวะหรือแผ่นรองซับ ซึ่งช่วยขจัดความไม่สบายตัวหรือเพิ่มความสะดวกสบายให้เมื่อปัสสาวะเล็ดหรือราด

เมื่อมีภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ควรพบแพทย์เมื่อใด
หากอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่เกิดบ่อยครั้งหรือกระทบชีวิตประจำวัน แนะนำเป็นอย่างยิ่งให้พบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำหรือรับการรักษา เพราะภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่อาจสร้างข้อจำกัดในการทำกิจกรรมหรือเข้าสังคม กระทบต่อชีวิต และเพิ่มความเสี่ยงที่จะหกล้มในผู้ใหญ่เมื่อรีบไปเข้าห้องน้ำ


กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ มีวิธีป้องกันอย่างไร
• เลี่ยงเครื่องดื่มที่อาจทำให้กระเพาะปัสสาวะระคายเคืองหรือทำงานไวเกินไป เช่น เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนหรือน้ำอัดลม
• บริหารอุ้งเชิงกรานเป็นประจำ
• ลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนัก
• เลิกสูบบุหรี่
• พยายามไม่ให้ท้องผูก
• ปัสสาวะบ่อยๆ เพื่อไม่ให้ปัสสาวะล้นกระเพาะ


เมื่อปัสสาวะเล็ด อาจทำให้ผิวหนังระคายเคือง แต่สามารถป้องกันได้ด้วยการดูแลผิว ดังนี้
• ทำความสะอาดด้วยผ้าสะอาด
• เลี่ยงการสวนล้างอวัยวะเพศบ่อยๆ
• ทาปิโตรเลียมเจลลี่ที่ผิวเพื่อกันปัสสาวะ


ปรับทางเดินไปห้องน้ำให้สะดวกขึ้นด้วยวิธีต่อไปนี้ ซึ่งมีประโยชน์กับผู้ที่มีภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
• ติดไฟตามทางเดินไปห้องน้ำ
• ย้ายของที่อาจทำให้สะดุดระหว่างเดินไปห้องน้ำ เช่น พรมหรือเฟอร์นิเจอร์


การเตรียมตัวพบแพทย์
ปฏิบัติตามขั้นตอนด้านล่างก่อนพบแพทย์เพื่อเป็นประโยชน์ต่อตนเอง
• ระวังเรื่องข้อห้ามที่ควรปฏิบัติตามก่อนพบแพทย์
• จดจำนวนครั้งที่ปัสสาวะใน 1 วัน จดอาการที่มี รวมถึงโรคหรือภาวะอื่นที่เกิดร่วมกับภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
•จดรายชื่อยา อาหารเสริม และวิตามินที่รับประทานอยู่


แพทย์มักถามคำถามต่อไปนี้
• เริ่มมีอาการเมื่อใด
• อาการเกิดขึ้นแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว หรือเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นประจำ
• มีอะไรที่อาจทำให้อาการดีขึ้นหรือแย่ลงหรือเปล่า
• รู้สึกปวดปัสสาวะบ่อยแค่ไหน
• มีปัญหาเรื่องปัสสาวะไม่สุดหรือไม่
•ดื่มแอลกอฮอล์หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนบ่อยแค่ไหน


คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
• ไม่รักษาภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ได้ไหม?
ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ อาจมีอาการแย่ลงกว่าเดิมหากไม่ได้รับการรักษาหรือไม่มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยอาจรู้สึกปวดปัสสาวะบ่อยขึ้นเมื่อมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหรือยังคงมีพฤติกรรมการบริโภคอาหารแบบเดิม


คำแนะนำจากแพทย์โรงพยาบาลเมดพาร์ค
“ความเสี่ยงที่จะมีภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่นั้นเพิ่มขึ้นตามอายุ หากคุณมีภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ วิธีรักษาที่เหมาะสมจะช่วยรักษาอาการ ช่วยให้คุณควบคุมการทำงานของกระเพาะปัสสาวะได้อีกครั้งและมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิม”


 


ขอขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล :https://www.medparkhospital.com/disease-and-treatment/urinary-incontinence