สนใจทำการตลาดผ่านสื่อและบริการของเราติดต่อ 0926516944 , 02 4243434, 02 434 3434
ปัจจุบันมีข่าวการเสียชีวิตอย่างกะทันหันเพิ่มมากขึ้นทุก ๆ วัน ทั้งในผู้ที่มีสุขภาพดี แข็งแรง รวมถึงในนักกีฬา ซึ่งการเสียชีวิตอย่างกะทันหันนั้นส่วนมากเกิดจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ที่พบมากขึ้นก็เพราะในยุคสมัยนี้มีปัจจัยเสี่ยงมากขึ้น ทั้ง PM2.5 ทั้งไลฟ์สไตล์ที่มีการเปลี่ยนไป (เช่น การรับประทานอาหาร และการออกกำลังกาย) จึงเป็นปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติมจากโรคประจำตัวเดิม (เช่น การสูบบุหรี่ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันสูง) และเพิ่มโอกาสเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน
นพ.วิสุทธิ์ เกตุแก้ว อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ โรงพยาบาลพระรามเก้า มีคำแนะนำในการช่วยชีวิตเบื้องต้นในกรณีที่พบผู้หมดสติอย่างกะทันหัน โดยให้คิดถึงภาวะหัวใจวาย และเป้าหมายสำคัญ คือ ควรได้รับการปั๊มหัวใจช่วยชีวิต (CPR) และควรได้รับการช็อตไฟฟ้าด้วยเครื่อง AED (Automated External Defibrillator) โดยเร็วที่สุด เพื่อเพิ่มโอกาสรอดชีวิตจากภาวะนี้
สำหรับขั้นตอนในการทำ CPR เบื้องต้นมีหลักการ ดังนี้
- อันดับแรกให้เราประเมินสถานการณ์ก่อน ว่าเรามีความพร้อมที่จะเข้าไปช่วย และมีความปลอดภัยในการเข้าไปช่วยหรือไม่ เช่น ถ้าคนไข้ถูกไฟช็อก ก็ต้องตัดไฟก่อนเข้าช่วยเหลือ (scene safety)
- ให้เราประเมินว่าคนไข้หมดสติไปจริงหรือไม่ โดยปลุกเรียกผู้ป่วยด้วยเสียงที่ดัง และตบไหล่ทั้งสองข้าง เพื่อประเมินการตอบสนองของผู้ป่วย หากพบว่าไม่รู้สึกตัว ให้รีบโทร. ขอความช่วยเหลือที่สายด่วน 1669 พร้อมร้องขอเครื่อง AED ที่อยู่ใกล้ที่สุด ให้มาที่จุดเกิดเหตุทันที (call for help)
- ช่วยเหลือฟื้นคืนชีพด้วยการกดหน้าอก จัดท่าให้ผู้ป่วยนอนหงาย วางส้นมือข้างหนึ่งตรงครึ่งล่างของกึ่งกลางกระดูกหน้าอก และวางมืออีกข้างทับประสานกันไว้ เริ่มการกดหน้าอกด้วยความลึก 5-6 เซนติเมตร ในอัตราเร็ว 100-120 ครั้งต่อนาที โดยไม่จำเป็นต้องช่วยหายใจ (start hand-only CPR)
- เมื่อเครื่อง AED มาถึง ให้เปิดเครื่อง และทำตามที่เครื่อง AED แนะนำ ซึ่งจะมีขั้นตอนคร่าว ๆ ดังนี้
1. เปิดเครื่อง
2. แปะแผ่นนำไฟฟ้าบนหน้าอกผู้ป่วย
3. เครื่องวิเคราะห์คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ขั้นตอนนี้ห้ามสัมผัสตัวผู้ป่วย)
4.เมื่อเครื่องแนะนำให้ทำการช็อก ให้กดปุ่มช็อก (ขั้นตอนนี้ห้ามสัมผัสตัวผู้ป่วย)
5. หลักจากเครื่องช็อกเสร็จให้เริ่มทำการกดหน้าอกต่อทันที
6. เมื่อครบสองนาที เครื่องจะสั่งให้หยุด CPR และจะวนไปขั้นตอนที่ 3 ต่อ
- ปฏิบัติตามที่เครื่อง AED แนะนำ จนกว่าทีมกู้ชีพจะมาถึง และส่งต่อผู้ป่วยให้กับทีมกู้ชีพเพื่อนำส่งโรงพยาบาล เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้ผู้ป่วยฉุกเฉินมีโอกาสรอดและปลอดภัย
- ในกรณีที่ไม่มี AED ให้ทำการกดหน้าอกอย่างเดียวไปเรื่อย ๆ จนกว่าทีมกู้ชีพจะมาถึง
- ผู้ช่วยเหลือจะหยุดกดหน้าอกได้ก็ต่อเมื่อ 1) ผู้ป่วยเริ่มขยับตัว 2) ทีมกู้ชีพมาถึง 3) AED แจ้งว่าไม่ให้สัมผัสผู้ป่วย
“อย่าใช้นิ้วล้วงเข้าปากเด็ก เพราะอาจจะทำให้สิ่งแปลกปลอมเข้าไปลึกขึ้น”
นพ.วิสุทธิ์ กล่าวต่ออีกว่า ในกรณีที่เป็นเด็ก การทำ CPR คล้าย ๆ กับผู้ใหญ่ แต่ของเด็กจะเน้นเรื่องทางเดินหายใจเป็นหลัก เพราะส่วนใหญ่การเสียชีวิตในเด็กจะมาจากทางเดินหายใจอุดตัน เช่น การรับประทานอาหารติดคอ หรือมีสิ่งแปลกปลอมอุดหลอดลม ซึ่งการช่วยชีวิตในขั้นตอนแรกให้ดูว่ามีอะไรอุดในลำคอ หรือในปากหรือไม่ ถ้าเห็นสิ่งแปลกปลอมที่เอาออกได้ให้เอาออก แต่ถ้าไม่เห็นหรือไม่มั่นใจ “ห้าม” เอานิ้วล้วงเข้าไปในปากเด็ก เพราะอาจจะทำให้สิ่งแปลกปลอมนั้นเข้าไปลึกขึ้น
ในกรณีที่เด็กอายุยังไม่ถึง 1 ขวบ ขั้นตอนแรกให้จับเด็กคว่ำหน้า ให้ศีรษะต่ำแล้วตบที่ระหว่างกระดูกสะบักด้านหลัง 5 ครั้ง (back blow) เพื่อให้สิ่งแปลกปลอมหลุดออกมา หรือถ้าเด็กที่มีอายุมากหน่อยก็ใช้วิธีการกดที่บริเวณท้อง (abdominal thrust) โดยการเข้าทางด้านหลัง ใช้แขนสอดข้างลำตัวเด็ก วางมือที่ใต้ลิ้นปี่ และออกแรงดึงมือเข้ามาที่ลิ้นปี่อย่างรวดเร็ว ถ้าหากระหว่างที่ทำการช่วยเหลือพบว่าเด็กหมดสติและไม่หายใจ ให้เริ่มทำ CPR ทันที