ดวงตาอาจส่งสัญญาณเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองและสมองเสื่อม

Amy Norton, HealthDay News

ดวงตาอาจเป็นหน้าต่างของสุขภาพสมองของคนเรา นักวิจัยพบว่า ผู้สูงวัยที่เป็นโรคจอประสาทตา มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคหลอดเลือดสมอง รวมทั้งเป็นไปได้ที่จะเกิดอาการโรคสมองเสื่อม และโดยทั่วไปมักจะเสียชีวิตเร็วกว่าคนในวัยเดียวกันที่ไม่มีปัญหาโรคตา
    โรคจอประสาทตา (retinopathy) เป็นโรคที่ทำลายจอประสาทตา ซึ่งมักจะมีสาเหตุจากโรคเบาหวานหรือความดันโลหิตสูง ซึ่งสามารถทำลายหลอดเลือดขนาดเล็กที่ส่งเลือดไปเลี้ยงจอประสาทตา
    ตามข้อมูลของ U.S. National Eye Institute (NEI) โรคนี้สามารถทำให้การมองเห็นเปลี่ยนแปลงไป เช่น มีปัญหาการอ่านหรือมองเห็นวัตถุที่อยู่ไกล  ในระยะท้าย ๆ ของโรค หลอดเลือดที่เสียหายอาจรั่วและทำให้รบกวนการมองเห็น อย่างเช่น มีจุดบอดหรือเส้นใยคล้ายใยแมงมุม
    การศึกษาหลายชิ้นได้แสดงถึงความสัมพันธ์ของโรคจอประสาทตาที่รุนแรงมากขึ้นกับความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง อาจเป็นเพราะทั้ง 2 โรคนี้ เกี่ยวข้องกับโรคของหลอดเลือด
    ในการศึกษาครั้งใหม่ คณะผู้วิจัยพบว่า ผู้ที่มีสัญญาณของโรคจอประสาทตามีโอกาสเป็น 2 เท่า ที่จะมีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดสมอง เทียบกับผู้ที่ไม่มีหลักฐานว่าเป็นโรคตา  ทำนองเดียวกัน ผู้ที่มีสัญญาณของโรคจอประสาทตายังมีโอกาสที่จะมีปัญหาเกี่ยวกับความจำได้มากขึ้นร้อยละ 70 ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ว่าอาจจะมีโรคสมองเสื่อม
    ในช่วง 10 ปีข้างหน้า ผู้ที่เป็นโรคจอประสาทตาขั้นรุนแรงที่สุดยังมีโอกาสสูงกว่าที่จะเสี่ยงต่อการเสียชีวิต 2 – 3 เท่า
    ยังไม่มีความชัดเจนว่า โรคทางจอประสาทตาจะพยากรณ์การเกิดโรคหลอดเลือดสมองหรือปัญหาความจำในอนาคตได้จริงหรือไม่  Dr. Michelle Lin ผู้ช่วยศาสตราจารย์สาขาประสาทวิทยา ที่ Mayo Clinic ในแจกสันวิลล์ รัฐฟลอริดา กล่าว
    มีการถามผู้เข้าร่วมการศึกษาเกี่ยวกับประวัติการเป็นโรคหลอดเลือดสมองและปัญหาความจำในขณะที่มีการประเมินเรื่องโรคจอประสาทตา  แต่ไม่พบชัดเจนว่าโรคใดมาก่อน Dr.Lin กล่าว
    เธอกล่าวเพิ่มเติมว่า ในขั้นต่อไปจะเป็นการติดตามผู้ป่วยที่เป็นโรคจอประสาทตา เพื่อดูว่าโรคนี้จะพยากรณ์ความเสี่ยงที่สูงขึ้นต่อโรคหลอดเลือดสมองได้หรือไม่ และการติดตามตรวจสอบโรคจอประสาทตาจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในความเสี่ยงดังกล่าวหรือไม่
    Dr.Lin ได้นำเสนอผลการค้นพบต่อที่ประชุมประจำปีของ American Stroke Association ที่จัดขึ้นในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา  โดยทั่วไปการศึกษาต่าง ๆ ที่นำเสนอต่อที่การประชุมถือเป็นรายงานเบื้องต้นจนกว่าจะได้รับการเผยแพร่ในวารสารหลังจากผ่านการทบทวนของผู้เชี่ยวชาญแล้ว
    ผลการศึกษานี้ได้ข้อมูลจากผู้สูงอายุในสหรัฐอเมริกามากกว่า 5,500 คน ซึ่งเข้าร่วมการศึกษาด้านสุขภาพของรัฐบาล ทุกคนได้รับการสแกนจอประสาทตา (retinal) เพื่อดูว่าเป็นโรคจอประสาทตาหรือไม่
    พบว่าเกือบ 700 คน มีอาการของดวงตา ในขณะที่ 289 คน มีประวัติโรคหลอดเลือดสมอง และประมาณ 600 คน บอกว่ามีปัญหาความจำ
    โดยเฉลี่ย ผู้ที่เป็นโรคจอประสาทตามีความเสี่ยงสูงต่อโรคหลอดเลือดสมองและปัญหาความจำ แม้หลังจากได้พิจารณาเกี่ยวกับอายุ โรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูงแล้ว
    “ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวโรคจอประสาทตาเอง”  Dr.Lin กล่าว นั่นคือ โรคตาอาจช่วยให้ความเข้าใจในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับหลอดเลือดของสมอง
    “เป็นความจริงที่ว่าดวงตาเป็นหน้าตาของสมอง” เธอกล่าว
    Dr.Lin สนับสนุนให้ผู้ที่ป่วยโรคจอประสาทตาร่วมมือกับแพทย์ของตนในการควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งรวมไปถึงโรคหลอดเลือดสมองและโรคหัวใจ นั่นหมายความว่า จะต้องดูแลควบคุมอาการต่าง ๆ อย่างเช่น ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และคอเลสเตอรอลสูง
    มาตรการเหล่านี้ยังเป็นหัวใจสำคัญในการจำกัดการสูญเสียการมองเห็นจากโรคจอประสาทตา นอกจากนั้น การฉีดยาและการผ่าตัดด้วยเลเซอร์เป็นทางเลือกสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมากขึ้น ตามรายงานของ NEI
    การค้นพบดังกล่าวสนับสนุนให้โรคจอประสาทตาเป็นอีกปัจจัยที่แพทย์ต้องพิจารณาในการวัดความเสี่ยงของผู้ป่วยต่อโรคหลอดเลือดสมอง Prof.Daniel Lackland อาสาสมัครผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานกับสมาคมโรคหลอดเลือดสมอง กล่าว
    ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการตรวจสอบโรคจอประสาทตาค่อนข้างทำได้ง่าย Prof. Lackland ซึ่งเป็นศาสตราจารย์สาขา epidemiology Medical University of South Carolina ด้วย กล่าว
    “และเราสามารถดำเนินกลยุทธ์ในการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองได้ ถ้าผู้ป่วยมีความเสี่ยงสูง”
    ถ้าผู้ป่วยได้รับการรักษาอาการต่าง ๆ เช่น ความดันโลหิตสูงแล้ว การวินิจฉัยโรคจอประสาทตาจะเปลี่ยนแปลงอะไรหรือไม่ คำตอบคือ อาจจะไม่ แม้ Dr.Lin จะบอกว่าสามารถสแกนผู้ป่วยเพื่อหาความบกพร่องของความจำ หรืออาจใช้เครื่อง MRI สมองเพื่อดูความเสียหายของเนื้อเยื่อหรือปัญหาหลอดเลือด
    ในอีกด้านหนึ่ง Dr.Lin กล่าวว่า ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดควรพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพของดวงตาด้วย