การค้นพบกลไกการทำงานของ 'แอสไพริน' ช่วยหยุดยั้งมะเร็งไม่ให้ลุกลามได้อย่างไร ?

13 มี.ค 2568 13:46:34จำนวนผู้เข้าชม : 32 ครั้ง

เจมส์ กัลลาเกอร์
Role, ผู้สื่อข่าวสุขภาพและวิทยาศาสตร์

 


ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ของสหราชอาณาจักรค้นพบว่า ยาแก้ปวดราคาถูกอย่างแอสไพริน (aspirin) สามารถยับยั้งไม่ให้เซลล์มะเร็งลุกลาม หรือแพร่กระจายออกไปยังอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้


การทดลองในสัตว์แสดงให้เห็นว่า แอสไพรินเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกัน โดยส่งเสริมให้สามารถต่อสู้กับเซลล์มะเร็งได้ดีขึ้น


คณะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์บอกกับบีบีซีว่า การค้นพบที่น่าตื่นเต้นครั้งนี้เกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน ซึ่งหากมีการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมต่อไป แพทย์อาจนำยาแอสไพรินไปใช้รักษาผู้ป่วยมะเร็งได้จริงในที่สุด แต่ปัจจุบันยังไม่สามารถสั่งยานี้ให้กับผู้ป่วยได้ และคนทั่วไปก็ไม่ควรจะหาซื้อยานี้มากินเองเพื่อหวังรักษาโรคมะเร็ง


สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะการใช้ยาแอสไพรินเป็นประจำมีความเสี่ยงต่อสุขภาพ และนักวิทยาศาสตร์ยังคงต้องพยายามศึกษาทำความเข้าใจว่า ผู้ป่วยมะเร็งกลุ่มใดที่เหมาะสมกับการใช้ยาแอสไพริน และจะได้ประโยชน์จากยาชนิดนี้มากที่สุด


ข้อมูลจากงานวิจัยจำนวนมากในช่วงกว่าหนึ่งทศวรรษก่อน ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าผู้ที่กินยาแอสไพรินเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว มีโอกาสรอดชีวิตมากกว่าผู้ป่วยคนอื่น ๆ หากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็ง


แต่ถึงกระนั้น สรรพคุณของยาแอสไพรินในด้านการรักษาโรคมะเร็ง ยังคงเป็นที่สงสัยของเหล่านักวิทยาศาสตร์ว่า มันมีกลไกการทำงานภายในร่างกายอย่างไร ซึ่งผลการศึกษาล่าสุดดูเหมือนว่า หัวใจสำคัญในการต้านทานมะเร็งของแอสไพริน อยู่ในตอนที่เซลล์มะเร็งกำลังจะเกิดการแพร่กระจายตัว (metastasis)


เมื่อก้อนเนื้อมะเร็งร้ายเข้าสู่ระยะแพร่กระจาย เซลล์มะเร็งเซลล์หนึ่งจะแยกตัวออกมาและพยายามเคลื่อนตัวไปยังอวัยวะส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เหมือนกับเมล็ดพันธุ์พืชที่ลอยไปตามสายลม เซลล์มะเร็งในระยะแพร่กระจายนี้คือสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งเสียชีวิต


 

ตามปกติแล้วเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เรียกว่าทีเซลล์ (T-cell) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภูมิคุ้มกันร่างกาย สามารถเข้ามากัดกินทำลายเซลล์มะเร็งในระยะแพร่กระจาย ก่อนที่มันจะหยั่งรากเติบโตเป็นก้อนเนื้อร้ายในตำแหน่งใหม่ ทว่าส่วนประกอบของเลือดที่เรียกว่าเกล็ดเลือด (platelet) ซึ่งปกติมีหน้าที่ทำให้เลือดแข็งตัวและหยุดไหลออกจากบาดแผล กลับขัดขวางการทำงานของทีเซลล์จนมันกำจัดเซลล์มะเร็งได้ยากขึ้น


อย่างไรก็ตาม ยาแอสไพรินที่มีสรรพคุณทำให้เลือดแข็งตัวช้า สามารถรบกวนการทำงานของเกล็ดเลือดและลดอิทธิพลของมันในการขัดขวางทีเซลล์ ทำให้เม็ดเลือดขาวสามารถไล่ล่ากำจัดเซลล์มะเร็งในระยะแพร่กระจายได้ดีขึ้น


ศาสตราจารย์ราหุล รอยเชาดูรี ผู้นำทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์บอกว่า "สิ่งที่เราค้นพบก็คือ แอสไพรินนั้นอาจใช้ได้ผลในการรักษาโรคมะเร็ง โดยปลดปล่อยพลังที่แท้จริงของระบบภูมิคุ้มกันร่างกายออกมา ทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวสามารถค้นหาเซลล์มะเร็งจนพบและฆ่ามันได้"


ศ.รอยเชาดูรีมองว่า ยาแอสไพรินอาจได้ผลดีกับผู้ป่วยมะเร็งในระยะแรกเริ่ม และอาจนำไปใช้ในการผ่าตัดรักษาโรคมะเร็ง เพื่อให้แน่ใจว่าระบบภูมิคุ้มกันจะสามารถค้นหาและทำลายเซลล์มะเร็งระยะแพร่กระจาย ที่อาจยังคงหลงเหลือและหลบซ่อนอยู่ในร่างกายได้
ผู้ป่วยมะเร็งควรหาแอสไพรินมากินเองหรือไม่


ศ.มันเกศ โทราฐ ศัลยแพทย์และนักวิจัยมะเร็งจากมหาวิทยาลัยควีนแมรีแห่งกรุงลอนดอน แสดงความเห็นว่า "หากคุณคือผู้ป่วยมะเร็ง อย่าเพิ่งรีบไปซื้อแอสไพรินจากร้านขายยาใกล้บ้านมากินเอง แต่ควรเริ่มพิจารณาอย่างจริงจังว่า จะเข้าร่วมการทดลองระดับคลินิกที่ศึกษาการใช้แอสไพรินรักษามะเร็งดีหรือไม่"


ศ.โทราฐยังบอกว่า แม้ผลการศึกษาล่าสุดจะให้ข้อมูลสำคัญ ที่เติมเต็มความเข้าใจเรื่องกลไกการทำงานของแอสไพรินในภาพรวม เหมือนกับตัวต่อจิ๊กซอว์ที่หายไป แต่ยังคงมีคำถามอีกมากเกี่ยวกับยาชนิดนี้ที่น่าสงสัยและยังหาคำตอบไม่ได้


แอสไพรินอาจทำให้เกิดเลือดออกภายในร่างกาย จนถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ ผลข้างเคียงในกลุ่มนี้รวมไปถึงโรคหลอดเลือดสมองตีบหรือแตกด้วย การใช้ยาจึงมีความเสี่ยงที่นักวิทยาศาสตร์จะต้องค้นหาวิธีป้องกันเอาไว้ก่อน นอกจากนี้ยังคงไม่แน่ชัดว่า แอสไพรินจะใช้ได้ผลกับมะเร็งทุกชนิดและผู้ป่วยมะเร็งทุกคนหรือไม่ ส่วนผลการทดลองล่าสุดก็ยังคงอยู่ในขั้นของสัตว์ทดลอง จึงยังไม่อาจยืนยันได้ว่ามันจะใช้ได้ผลในมนุษย์ด้วย

แม้ปัจจุบันผู้ป่วยกลุ่มอาการลินช์ (Lynch syndrome) ซึ่งมีความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ทำให้เสี่ยงเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ จะได้รับคำแนะนำจากแพทย์ให้กินยาแอสไพรินก็ตาม แต่เรายังคงต้องรอผลการทดลองทางคลินิกในวงกว้างให้ออกมาเสียก่อน จึงจะทราบชัดว่าผู้ป่วยมะเร็งส่วนใหญ่ได้รับประโยชน์จากยาแอสไพรินจริงหรือไม่


ล่าสุดกำลังมีการทดลองทางคลินิกที่ ศ.รูธ แลงลีย์ แห่งหน่วยทดลองทางคลินิก MRC ของมหาวิทยาลัยยูนิเวอร์ซิตี คอลเลจ ลอนดอน (UCL) ดำเนินการอยู่ โดยโครงการทดลองนี้มีชื่อว่า "เติมแอสไพริน" (Add-Aspirin) ซึ่งทดสอบว่ายาชนิดนี้จะช่วยรักษาโรคมะเร็งระยะแรกเริ่ม และป้องกันไม่ให้เนื้อร้ายกลับมาเติบโตในร่างกายได้อีกหรือไม่


ศ.แลงลีย์ร่วมแสดงความเห็นว่า ผลวิจัยล่าสุดของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์นั้น "เป็นการค้นพบครั้งสำคัญ" เพราะจะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ทำความเข้าใจในขั้นต่อไปได้ว่า "ใครบ้างคือผู้ที่น่าจะได้รับประโยชน์จากยาแอสไพรินมากที่สุด หลังได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าป่วยเป็นโรคมะเร็งแล้ว"


อย่างไรก็ตาม ศ.แลงลีย์กล่าวย้ำเตือนถึงความเสี่ยงในการใช้ยาแอสไพริน และได้แนะนำให้ "ปรึกษากับแพทย์ประจำตัวของคุณทุกครั้ง ก่อนจะเริ่มใช้ยาชนิดนี้"


ศ.เชาดูรีได้คาดการณ์ว่า ท้ายที่สุดแล้วจะมีการพัฒนายาชนิดใหม่ขึ้นในอนาคต เพื่อมาแทนที่การใช้ยาแอสไพรินโดยตรง โดยยาชนิดใหม่จะยังคงคุณประโยชน์ของแอสไพรินในการรักษามะเร็ง แต่จะมีผลข้างเคียงน้อยกว่ายาแอสไพรินในปัจจุบัน
นาทีแห่งการค้นพบ


ผลวิจัยล่าสุดของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เพิ่งลงตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการ Nature ฉบับวันที่ 5 มี.ค. ที่ผ่านมา โดยเปิดเผยว่าการค้นพบนี้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ขณะทำการวิจัยในหัวข้ออื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับแอสไพรินเลย


อันที่จริงแล้วทีมผู้วิจัยกำลังศึกษาว่า ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไรต่อเซลล์มะเร็ง เมื่อเกิดการแพร่กระจายตัวของเซลล์เนื้อร้าย โดยผลการทดลองในหนูที่ผ่านการตัดต่อพันธุกรรมชี้ว่า หนูที่ไม่มียีนซึ่งบรรจุชุดคำสั่งพิเศษชุดหนึ่ง มีแนวโน้มจะป่วยด้วยโรคมะเร็งระยะแพร่กระจายต่ำกว่า


ผลการศึกษาเจาะลึกในขั้นต่อไปยังทำให้พบว่า การที่หนูทดลองขาดยีนตัวดังกล่าว ทำให้เม็ดเลือดขาวชนิดทีเซลล์ไม่ถูกเกล็ดเลือดกดข่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ต่ำลง ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนี้คล้ายกับกลไกการทำงานของยาแอสไพรินในร่างกายพอดี


ดร.เจีย หยาง หนึ่งในสมาชิกทีมวิจัยของเคมบริดจ์กล่าวทิ้งท้ายว่า "มันคือชั่วขณะแห่งการค้นพบคำตอบอย่างแท้จริง เป็นการค้นพบที่เราไม่เคยคาดฝันถึงมาก่อนเลย มันผลักดันให้งานวิจัยของเราเดินหน้าไปในอีกทิศทางหนึ่ง ทั้งที่ไม่อยู่ในแผนการที่เคยวางไว้เลย"

 


ขอขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล : https://www.bbc.com/thai/articles/c80yd0lvr9lo


ขอขอบคุณแหล่งที่มาของรูป : GETTY IMAGES