ยาคุมกำเนิดบั่นทอนสุขภาพจิตผู้หญิงจริงหรือไม่ ?

13 มี.ค 2568 15:51:29จำนวนผู้เข้าชม : 35 ครั้ง

แซนดี อ่อง
Role,บีบีซี ฟิวเจอร์

 


เมื่ออยู่ในวัยสาว ซาราห์ อี. ฮิลล์ ก็เหมือนกับผู้หญิงหลายคนที่กินยาคุมกำเนิดเป็นประจำ โดยเริ่มตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นตอนปลายไปจนถึงตอนย่างเข้าสู่วัยเลขสาม "เมื่อก่อนฉันกินยาคุมได้โดยไม่ต้องลังเลใจเลย"


ทว่า ในปัจจุบัน ฮิลล์กลายเป็นนักวิจัยและอาจารย์ผู้สอนวิชาจิตวิทยาวิวัฒนาการ ที่มหาวิทยาลัยเท็กซัสคริสเตียนของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสถาบันที่มีสายสัมพันธ์กับคริสตจักร Disciples of Christ (สาวกแห่งพระคริสต์) และหลังจากที่เข้าสู่เส้นทางอาชีพสายวิชาการ ฮิลล์ได้เลิกกินยาเม็ดคุมกำเนิดที่เธอกินติดต่อกันมานานถึง 12 ปี และได้เปลี่ยนไปใช้วิธีวางแผนครอบครัวแบบอื่น


"ทันใดนั้นชีวิตของฉันก็ดูสดใสและมีความน่าสนใจเพิ่มขึ้นทันที มันเหมือนกับว่าฉันเดินออกมาจากจอภาพยนตร์ขาวดำสองมิติ เข้าสู่โลกใหม่ที่เป็นสามมิติและเต็มไปด้วยสีสันละลานตา" ประสบการณ์ที่ว่านี้ทำให้ฮิลล์เริ่มศึกษาค้นคว้าข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับยาคุมกำเนิด จนสามารถเขียนและตีพิมพ์หนังสือ "ยาคุมกำเนิดเปลี่ยนทุกสิ่งได้อย่างไร" (How the Pill Changes Everything) ในปี 2019


ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ กระแสความวิตกกังวลในหมู่สตรีถึงผลข้างเคียงของยาเม็ดคุมกำเนิดมีเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของผลกระทบทางอารมณ์และผลร้ายต่อสุขภาพจิต ดังจะเห็นได้จากความนิยมต่อแฮชแท็ก "เลิกคุมกำเนิด" (#quittingbirthcontrol) ที่ใช้กันแพร่หลายในวงกว้างทางสื่อสังคมออนไลน์ที่มีผู้ชมหลายล้านคน ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อัตราการกินยาเม็ดคุมกำเนิดตกต่ำลงในหลายประเทศ


สถิติล่าสุดของการกินยาคุมกำเนิดลดฮวบลงเป็นประวัติการณ์ในประเทศพัฒนาแล้วเป็นส่วนใหญ่ โดยสำนักงานสุขภาพการเจริญพันธุ์และสุขภาพทางเพศของอังกฤษ (SRH) รายงานว่าอัตราการกินยาคุมกำเนิดลดลงจาก 39% ในระหว่างปี 2020-2021 มาอยู่ที่ 27% ในระหว่างปี 2021-2022 ส่วนตัวเลขสถิติในหมู่สตรีชาวอเมริกัน ตกลงจาก 31% ในปี 2002 มาอยู่ที่ 24% ในช่วงระหว่างปี 2017-2019 ด้านแคนาดาและออสเตรเลียนั้น สถิติการกินยาคุมกำเนิดลดลงจาก 23% มาอยู่ที่ 11% ในช่วงระหว่างปี 2006-2016 และในช่วงระหว่างปี 2008-2016 ตามลำดับ


ปัจจุบันสหราชอาณาจักรมีอัตราการทำแท้งสูงขึ้น ซึ่งผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่า น่าจะเป็นผลกระทบจากกระแสปลุกปั่นของเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ในสื่อสังคมออนไลน์ ที่พากันเผยแพร่ข้อมูลเท็จหรือข้อมูลบิดเบือนเกี่ยวกับผลข้างเคียงของยาเม็ดคุมกำเนิด คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่มีความรู้หรือภูมิหลังทางการแพทย์มาก่อน แต่บางคนกล้าถึงขนาดยุยงส่งเสริมให้ผู้หญิงเลิกคุมกำเนิดทุกวิธีไปอย่างสิ้นเชิง


น่าสงสัยว่ายาเม็ดคุมกำเนิดส่งผลกระทบทางลบต่อบุคลิกภาพ รวมทั้งบิดเบือนการมองโลกและชีวิตของผู้หญิงได้จริงหรือไม่ ผลข้างเคียงนี้รุนแรงจนสามารถนำไปสู่โรควิตกกังวลและโรคซึมเศร้า หรือแม้กระทั่งการฆ่าตัวตายในบางกรณีได้หรือไม่ ?


การตอบสนองที่เชื่องช้า
ทุกวันนี้คำถามข้างต้นยังคงไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากแวดวงการแพทย์และวิทยาศาสตร์ แม้ผู้หญิงทั่วโลกจะใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดกันมานานหลายสิบปีแล้ว นับตั้งแต่เริ่มมีการวางจำหน่ายครั้งแรกในสหรัฐฯ เมื่อปี 1960 และมีจำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเป็น 1.2 ล้านคน ภายในระยะเวลาเพียง 2 ปี


ในตอนนั้นยาคุมกำเนิดเม็ดเล็กสีเบจ ได้รับการยกย่องให้เป็นสัญลักษณ์ของการปลดปล่อยเพศหญิง ให้มีอิสรเสรีทางเพศและมีพลังอำนาจในสังคมเพิ่มขึ้น เนื่องจากพวกเธอไม่ต้องกังวลกับความเสี่ยงเรื่องการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ ที่อาจทำลายชีวิตการงานหรือการศึกษาอีกต่อไป


ทุกวันนี้ผู้หญิง 150 ล้านคนทั่วโลก ยังคงกินยาเม็ดคุมกำเนิด ซึ่งตัวเลขนี้คิดเป็น 16% ของประชากรทั้งหมดที่คุมกำเนิดด้วยวิธีการแบบใดแบบหนึ่ง ยาชนิดนี้มีอัตราเสี่ยงที่จะทำการคุมกำเนิดล้มเหลวอยู่เพียง 1% (แต่ในกรณีที่เกิดความผิดพลาดจากมนุษย์เช่นลืมกินยาในบางครั้ง ความเสี่ยงนี้อาจเพิ่มขึ้นเป็น 9%) อัตราเสี่ยงต่อการคุมกำเนิดล้มเหลวที่ว่านี้ นับจากกรณีการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นในหมู่ผู้หญิง 100 คน ที่ได้กินยาคุมกำเนิดติดต่อกันเป็นเวลานาน 1 ปี


ยาเม็ดคุมกำเนิดมีอยู่ 2 ชนิด ซึ่งทั้ง 2 แบบผลิตขึ้นจากฮอร์โมนเพศเทียม ชนิดแรกเป็นชนิดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มีส่วนผสมของฮอร์โมน 2 ชนิดคือเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ส่วนชนิดที่ 2 หรือ "มินิพิล" (mini-pill) มีแต่ฮอร์โมนโปรเจสโตเจน (progestogen) เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยาคุมกำเนิดออกฤทธิ์ป้องกันการตั้งครรภ์ผ่านหลายกลไกของร่างกาย เช่นยับยั้งการตกไข่และทำให้เมือกบริเวณปากมดลูกข้นเหนียวขึ้น จนสเปิร์มไม่อาจแหวกว่ายผ่านไปจนเข้าถึงเซลล์ไข่ได้


อย่างไรก็ตามยาคุมกำเนิดไม่ได้ออกฤทธิ์ต่อร่างกายเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อสมองด้วย "การที่ฮอร์โมนต่างๆ จะมีผลต่อสมองอย่างไรนั้น นับว่าเป็นเรื่องที่ซับซ้อนอย่างมาก" โยฮันเนส บิตเซอร์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา (OBGYN) และนักจิตบำบัดจากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบาเซิลของสวิตเซอร์แลนด์กล่าว "สำหรับบางคนแล้ว ยาคุมกำเนิดส่งผลดีต่อสุขภาพจิต แต่กับบางคนยานี้ทำให้รู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ หรือแม้กระทั่งทำให้เครียดวิตกกังวลได้"


 

บรรยายรูป :มีหลักฐานบางส่วนที่ชี้ว่า ยาเม็ดคุมกำเนิดอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพจิตของผู้หญิงได้ แต่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบชัดถึงกลไกที่เป็นสาเหตุของเรื่องนี้

ตลอดระยะเวลา 65 ปี ที่มนุษยชาติได้รู้จักและใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด แทบไม่เคยมีการออกคำเตือนเกี่ยวกับผลข้างเคียงต่อสุขภาพจิตซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากยาชนิดนี้เลย แม้แต่หน่วยงานที่ให้บริการดูแลสุขภาพทางเพศของประชาชนในสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ก็ไม่มีคำเตือนในลักษณะนี้ปรากฏให้เห็นบนเว็บไซต์


บิตเซอร์แสดงความเห็นว่า "ปัญหาใหญ่ก็คือการฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญด้านสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา เพราะที่ผ่านมาไม่มีการสอนหรือให้ความสำคัญต่อเรื่องสุขภาพจิตในหมู่คนกลุ่มนี้เลย มันถูกมองว่าเป็นหน้าที่ของจิตแพทย์มากกว่า" ตลอดระยะเวลา 40 ปีที่เขาคร่ำหวอดอยู่ในวงการ OBGYN บิตเซอร์บอกว่าแทบจะไม่มีความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงในเรื่องดังกล่าว "เมื่อเราพูดถึงผลข้างเคียงของยาคุมกำเนิดในสมัยก่อน เราจะมุ่งความสนใจไปที่เรื่องโรคมะเร็ง, โรคลิ่มเลือดอุดตัน, ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ, น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น, หรืออะไรทำนองนี้เท่านั้น"


ในอดีตงานวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบของยาคุมกำเนิดต่อสุขภาพจิตมีอยู่น้อยมาก แต่แนวโน้มนี้เริ่มเปลี่ยนไปในปี 2016 เมื่อคณะนักวิจัยจากเดนมาร์กตีพิมพ์เผยแพร่ผลการวิจัยใหม่ในหัวข้อดังกล่าว ซึ่งสั่นสะเทือนวงการและมีอิทธิพลสูงในการกระตุ้นให้เกิดงานวิจัยติดตามมาในภายหลังอีกมากมาย


ผลการศึกษาของทีมวิจัยจากเดนมาร์กดังกล่าว ได้ติดตามวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพของประชากรหญิงอายุ 15-34 ปี จำนวนกว่า 1 ล้านคน เป็นระยะเวลานานถึง 14 ปี จนพบว่าผู้หญิงที่เริ่มกินยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฮอร์โมน 2 ชนิด มีแนวโน้มสูงกว่าถึง 70% ที่จะได้รับใบสั่งยาต้านโรคซึมเศร้าจากแพทย์ในอีก 6 เดือนถัดมา เมื่อเทียบกับผู้หญิงในกลุ่มที่ไม่เคยได้กินยาคุมกำเนิดเลย ส่วนความเสี่ยงที่จะต้องรับยาต้านโรคซึมเศร้าของผู้หญิงที่กินยาคุมแบบมินิพิล ยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปอีกที่ 80% เมื่อเทียบกับผู้หญิงที่ไม่เคยกินยาชนิดนี้


ต่อมาในปี 2023 ผลการศึกษาของคณะนักวิจัยนานาชาติอีกทีมหนึ่ง พบแนวโน้มที่คล้ายคลึงกันในหมู่สตรีชาวอังกฤษประมาณ 250,000 คน โดยผลวิจัยชี้ว่าหญิงชาวอังกฤษที่กินยาคุมกำเนิดมีแนวโน้มจะเป็นโรคซึมเศร้าได้มากกว่าถึง 71% หลังเริ่มกินยาคุมกำเนิด 2 ปี เมื่อเทียบกับคนที่ไม่เคยกินยานี้เลย


ออยวินด์ ลือด์โกด์ นักระบาดวิทยาจากมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกนของเดนมาร์ก ผู้นำทีมวิจัยที่บุกเบิกเรื่องผลกระทบของยาคุมกำเนิดต่อสุขภาพจิต กล่าวสรุปว่า "เราพบความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องตามช่วงเวลา ที่ทำให้เชื่อได้ว่าการเริ่มใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดมีความสัมพันธ์กับการล้มป่วยเป็นโรคซึมเศร้า"


อย่างไรก็ตาม ผลวิจัยข้างต้นนี้ล้วนเป็นการศึกษาโดยติดตามวิเคราะห์ข้อมูลของคนกลุ่มหนึ่งในระยะยาว (cohort study) ซึ่งบ่งชี้ได้เพียงว่าสิ่งที่ถูกติดตามสังเกตมีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันหรือไม่ แต่ก็ไม่อาจจะฟันธงลงไปได้ว่า สิ่งเหล่านั้นมีความสัมพันธ์เป็นเหตุเป็นผลกันอย่างแน่นอน เพราะอาจมีปัจจัยอื่นที่แฝงอยู่ก่อนแล้ว ทำให้ผู้หญิง 2 กลุ่มที่ถูกนำมาเปรียบเทียบกันมีความแตกต่างมาตั้งแต่ต้น


ผลวิจัยที่ขัดแย้งกันเอง
ผลการศึกษาจำนวนไม่น้อยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กลับรายงานผลในทางตรงกันข้ามกับข้อสงสัยเรื่องยาคุมกำเนิดส่งผลลบต่อสุขภาพจิต เช่นผลวิเคราะห์ทบทวนงานวิจัยในอดีต 26 ชิ้น ของมหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตตในสหรัฐฯ พบว่าการกินยาคุมกำเนิดแบบที่มีฮอร์โมนโปรเจสโตเจนเพียงชนิดเดียว มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับอาการซึมเศร้าน้อยมาก ส่วนผลการทดลองทางคลินิกอีก 2 ครั้ง ที่ทำกับผู้หญิง 200 และ 340 คนในสวีเดน ได้ข้อสรุปว่ายาคุมกำเนิดแบบผสมฮอร์โมน 2 ชนิด ไม่นำไปสู่การเกิดโรคซึมเศร้าหรือภาวะอารมณ์หม่นหมองแต่อย่างใด


สิ่งที่น่าสนใจก็คือ การหยุดกินยาฮอร์โมน 7 วัน ในแต่ละเดือน ซึ่งเป็นข้อกำหนดของการกินยาคุมกำเนิดแบบผสมฮอร์โมน 2 ชนิดหลายยี่ห้อ อาจเป็นสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ผู้หญิงเกิดภาวะอารมณ์หม่นหมองได้ โดยผลวิจัยที่ตีพิมพ์เมื่อปี 2023 ระบุว่าในบรรดาผู้หญิงชาวออสเตรีย 120 คน ที่กินยาคุมกำเนิดเป็นประจำ ในจำนวนนี้ 7% รายงานว่ามีความวิตกกังวลเพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่หยุดกินยาฮอร์โมน ในจำนวนนี้ 13% รายงานว่ามีอารมณ์ลบบ่อยขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว ส่วนอีก 24% รายงานว่ามีอาการป่วยทางจิตบางอย่างเกิดขึ้นด้วย


เบลินดา เพลตเซอร์ นักประสาทวิทยาศาสตร์ด้านการคิดวิเคราะห์จากมหาวิทยาลัยซัลซ์บวร์กของออสเตรีย ผู้นำโครงการวิจัยของอียูที่ศึกษาเรื่องผลกระทบของยาฮอร์โมนคุมกำเนิดต่อสมองของผู้หญิง กล่าวสรุปถึงผลการศึกษาข้างต้นว่า "ดังนั้นจากมุมมองที่ยึดถือสุขภาพจิตเป็นหลักแล้ว การที่ผู้หญิงกินยาฮอร์โมนคุมกำเนิดอย่างต่อเนื่องโดยไม่เว้นช่วง จะส่งผลดีต่อพวกเธอมากกว่า อย่างไรก็ตาม มีผู้หญิงบางคนที่สุขภาพจิตถูกบั่นทอนด้วยการกินยาคุมกำเนิดจริง แต่ก็คิดเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก"


 

บรรยายรูป : ผลการศึกษาหนึ่งพบว่า การหยุดกินยาฮอร์โมน 7 วัน ตามที่ยาคุมกำเนิดบางยี่ห้อแนะนำ อาจทำให้ผู้หญิงอารมณ์หม่นหมองลงในช่วงนั้นได้

สาเหตุที่ผลการวิจัยออกมาขัดแย้งกัน หรือมีความแตกต่างหลากหลายที่ฉีกออกจากกันไปมากขนาดนี้ เฮเลนา คอปป์ คาลเนอร์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา จากโรงพยาบาล Danderyd ใกล้กรุงสตอกโฮล์มของสวีเดน อธิบายว่าอาจเป็นเพราะสิ่งที่ถูกนำมาศึกษาวิจัยนั้นไม่ใช่สิ่งเดียวกันเสมอไป เช่นยาเม็ดคุมกำเนิดนั้นก็มีอยู่หลายแบบหลายยี่ห้อ เฉพาะแบบที่ผสมฮอร์โมน 2 ชนิดก็มีอยู่กว่า 30 ยี่ห้อแล้ว ส่วนปัญหาสุขภาพจิตหรืออาการป่วยทางจิตนั้น ก็มักจะทำการศึกษาหรือบ่งชี้ได้ยากเพราะมีความเป็นอัตวิสัยอยู่สูง ส่งผลให้นักวิทยาศาสตร์มักหลงทางและลงเอยด้วยการเลือกหยิบ 2 สิ่งที่ไม่เหมือนกันมาเปรียบเทียบกัน


บิตเซอร์แสดงความเห็นเพิ่มเติมต่อประเด็นนี้ว่า สิ่งที่นักวิจัยเลือกมองหาเพื่อใช้เป็นตัวชี้วัดผลการทดลองนั้น อาจทำให้เกิดการสรุปผลที่เข้าใจไขว้เขวไปได้ เช่นการได้รับใบสั่งยาต้านโรคซึมเศร้าจากแพทย์ หลังเริ่มกินยาคุมกำเนิดไปได้ราวครึ่งปีนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ว่าคนผู้นั้นป่วยเป็นโรคซึมเศร้า แต่เป็นเพียงวิธีบำบัดรักษาอย่างหนึ่งของแพทย์เท่านั้น


โซเฟีย เซตเทอร์มาร์ก แพทย์ในเมืองโกเทนเบิร์กของสวีเดนกล่าวเสริมว่า การศึกษาวิจัยแบบติดตามสังเกตกลุ่มตัวอย่างในระยะยาว ไม่อาจบ่งบอกได้เสมอไปว่า สิ่งใดเป็นสาเหตุและสิ่งใดเป็นผลที่เกิดขึ้นจากปรากฏการณ์ที่ศึกษา เพราะอาจยังมีปัจจัยอื่นอีกมากมายที่มีอิทธิพลต่อผลการทดลอง ตัวอย่างเช่นพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งในตอนที่เธอศึกษาข้อมูลสุขภาพของผู้หญิงชาวสวีเดนเกือบ 1 ล้านคน เซตเทอร์มาร์กพบว่าผู้หญิงที่มีภูมิหลังมาจากครอบครัวผู้อพยพและมีรายได้ต่ำ มีแนวโน้มจะเกิดภาวะอารมณ์เหวี่ยงขึ้นลงจากการกินยาคุมกำเนิดได้มากกว่าผู้อื่น


แม้แต่ลือด์โกด์ผู้เป็นต้นกำเนิดงานวิจัยที่ชี้ถึงผลกระทบเชิงลบของยาคุมกำเนิดต่อสุขภาพจิตผู้หญิง ก็ยังกล่าวเตือนว่า "แม้จะไม่ต้องสงสัยเลยว่า สุขภาพจิตของผู้หญิงบางคนเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงหลังเริ่มกินยาคุมกำเนิดจริง แต่ก็มีเพียง 7-8% ที่เกิดอาการทางจิตอย่างมากจนต้องหยุดกินยาคุมกำเนิดไป ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่ได้มีอาการรุนแรงเช่นนั้น"


ในหลายกรณีการกินยาคุมกำเนิดให้ประโยชน์คุ้มค่า เมื่อเปรียบเทียบกับผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย โดยคอปป์ คาลเนอร์ ให้คำแนะนำว่า "นอกจากจะป้องกันการตั้งครรภ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยาคุมกำเนิดทั้ง 2 ชนิดสามารถช่วยให้อาการตกเลือดอย่างรุนแรง, ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่และอาการผิดปกติก่อนมีประจำเดือนชนิดรุนแรง (PMDD) บรรเทาเบาบางลงได้" นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่พบว่า การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ทำให้คนเป็นแม่ป่วยด้วยโรคซึมเศร้าได้ด้วย


เปลี่ยนแปลงสารเคมีในสมอง
หากยาเม็ดคุมกำเนิดส่งผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพจิตของผู้หญิงจริง สิ่งนี้สามารถจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ? ผู้เชี่ยวชาญหลายรายสันนิษฐานว่า ยาดังกล่าวทำให้อารมณ์เปลี่ยนแปลงได้จากหลายกลไกด้วยกัน เช่นอาจไปรบกวนหรือแทรกแซงการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนตามธรรมชาติ จนบทบาทหน้าที่ของฮอร์โมนเหล่านี้ที่ควบคุมการคิดวิเคราะห์ในสมอง, ปกป้องเซลล์ประสาท, ควบคุมการไหลเวียนโลหิต, ควบคุมการอักเสบในร่างกายและการส่งสัญญาณต่าง ๆ เริ่มผิดเพี้ยนไปจากเดิม


ยาคุมกำเนิดที่ทำจากฮอร์โมนเพศเทียม และการบำบัดรักษาโรคด้วยวิธีให้ฮอร์โมนทดแทน (HRT) ล้วนใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์ที่รบกวนวงจรการตกไข่และมีประจำเดือนของผู้หญิงได้ ในจำนวนนี้รวมถึง "โปรเจสติน" (progestins) ฮอร์โมนโปรเจสโตเจนเทียมกลุ่มหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่ผลิตขึ้นจากฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรน แต่ไม่ว่าจะเป็นฮอร์โมนสังเคราะห์ชนิดใด พวกมันก็ไม่ได้มีโครงสร้างเหมือนกับฮอร์โมนธรรมชาติที่ร่างกายผลิตขึ้นไปเสียทุกอย่าง


ความแตกต่างนี้อาจไปรบกวนการผลิตและกลไกการทำงานของสารสื่อประสาท "เซโรโทนิน" (serotonin) ซึ่งสามารถกระตุ้นสมองให้คนเราอารมณ์ดีขึ้นได้ตามธรรมชาติ โดยผลการศึกษาภาพสแกนสมองของคณะนักวิจัยชาวเดนมาร์ก ที่ทำกับกลุ่มตัวอย่างหญิงสุขภาพดี 53 คน ซึ่งในจำนวนนั้นมีผู้กินยาคุมกำเนิด 16 คน พบว่ากลุ่มตัวอย่างที่กินยาคุมกำเนิด มีระดับของการส่งสัญญาณสื่อประสาทด้วยเซโรโทนินบางชนิดต่ำกว่าผู้หญิงที่ไม่ได้กินยาคุมกำเนิดอยู่ราว 9-12%


ปรากฏการณ์ทางเคมีในสมองนี้มีความรุนแรงเป็น 2 เท่าเมื่อเทียบกับผลของยาต้านโรคซึมเศร้า SSRI จึงทำให้ทีมวิจัยสันนิษฐานว่า ยาคุมกำเนิดและภาวะซึมเศร้าน่าจะมีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกัน โดยผ่านกลไกการสื่อประสาทชนิดนี้ไม่มากก็น้อย

บรรยายรูป : แทบจะไม่เคยมีการแจ้งเตือนผู้หญิงถึงผลข้างเคียงของยาคุมกำเนิดต่อสุขภาพจิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงก่อนที่พวกเธอจะตัดสินใจใช้ยาดังกล่าว

นอกจากนี้ยังมีหลักฐานจากงานวิจัยที่ชี้ว่า ฮอร์โมนเอสโตรเจนเทียมและฮอร์โมนกลุ่มโปรเจสตินเทียมในยาเม็ดคุมกำเนิด อาจไปรบกวนการผลิตฮอร์โมนอัลโลเพร็กนาโนโลน (allopregnanolone) ในสมอง ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมอารมณ์และปฏิกิริยาของร่างกายเมื่อต้องตอบสนองต่อความเครียด ฮอร์โมนชนิดนี้ที่อยู่ในรูปของยา ได้รับอนุญาตจากทางการสหรัฐฯ ให้ใช้รักษาแม่ที่มีภาวะซึมเศร้าหลังคลอดได้เมื่อปี 2019


โดยทั่วไปแล้วร่างกายของผู้หญิงที่ไม่ได้กินยาคุมกำเนิด จะสามารถเปลี่ยนโปรเจสเตอโรนให้กลายเป็นอัลโลเพร็กนาโนโลนได้เอง แต่ในคนที่กินยาคุมกำเนิดกระบวนการนี้อาจถูกขัดขวาง จนฮอร์โมนกลุ่มโปรเจสตินไม่สามารถสลายตัวเป็นอัลโลเพร็กนาโนโลน ซึ่งเท่ากับว่าผู้หญิงกลุ่มนี้จะไม่ได้รับยาคลายกังวลและยาต้านซึมเศร้าตามธรรมชาติ


ผลการทดลองในหนูพบว่า หนูที่ได้รับยาคุมกำเนิดมีระดับความเข้มข้นของอัลโลเพร็กนาโนโลนในสมองต่ำ ผลการวิจัยในหนูทดลองอีกชิ้นหนึ่งยังพบว่า ระดับความเข้มข้นของอัลโลเพร็กนาโนโลนที่น้อยมาก มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมไม่อยากเข้าสังคมและมีความต้องการทางเพศลดลง ซึ่งเป็นพฤติกรรมแบบเดียวกับที่พบในผู้หญิงผู้กินยาคุมกำเนิดบางราย แต่ผลการทดลองในหนูก็ยังไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่า สิ่งเดียวกันจะเกิดขึ้นกับมนุษย์ด้วย


ฮิลล์บอกว่ายาคุมกำเนิดยังอาจไปรบกวนปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดของร่างกาย จนมีการหลั่งฮอร์โมนเครียดหรือคอร์ติซอลในระดับสูง เทียบเท่ากับนักกีฬาปั่นจักรยานหญิงในขณะที่กำลังลงแข่งได้เลยทีเดียว ซึ่งอาจเป็นที่มาของโรควิตกกังวลและโรคซึมเศร้าในภายหลังได้ "หากไม่มีคอร์ติซอล เราก็จะไม่เครียด มันอาจฟังดูดีหากฟังเผินๆ แต่แท้จริงแล้วคอร์ติซอลไม่ได้ทำให้เกิดความเครียดขึ้นโดยตรง มันเป็นเพียงการตอบสนองของร่างกาย เพื่อช่วยเตรียมพร้อมให้เรารับมือและฟื้นฟูตัวเองจากภาวะเครียดได้" ฮิลล์กล่าวอธิบาย


ความเสี่ยงในกลุ่มสาววัยรุ่น
ยังมีประเด็นที่น่าห่วงเป็นพิเศษในเรื่องของยาคุมกำเนิดกับสุขภาพจิตผู้หญิง นั่นคือการที่สาววัยรุ่นอายุ 15-19 ปี ที่เข้าร่วมการวิจัยของลือด์โกด์โดยกินยาคุมกำเนิด มีแนวโน้มสูงกว่าเพื่อนเกือบ 2 เท่า (1.8) ที่จะได้รับใบสั่งยาต้านโรคซึมเศร้าจากแพทย์ ส่วนกลุ่มสาวน้อยที่เลือกกินยาคุมกำเนิดชนิดมินิพิล ความเสี่ยงตรงนี้จะพุ่งสูงขึ้นอีกเป็นมากกว่า 2 เท่า (2.2)


ส่วนผลวิจัยของเซตเทอร์มาร์กก็พบเช่นกันว่า เด็กสาววัยแรกรุ่นอายุ 12-14 ปี มีแนวโน้มจะเป็นโรควิตกกังวลหรือซึมเศร้าได้มากที่สุดภายใน 1 ปีหลังเริ่มกินยาคุมกำเนิด โดยเด็กสาววัยนี้ที่กินยาแบบผสมฮอร์โมน 2 ชนิด มีความเสี่ยงสูงกว่าเพื่อนที่ไม่ได้กินยาคุมกำเนิดถึง 240% ส่วนเด็กสาววัยเดียวกันที่กินยาแบบมินิพิล มีความเสี่ยงสูงกว่าเพื่อนที่ไม่เคยกินยาเลย 190%


ผลการศึกษาผู้หญิง 264,557 คน ที่มีข้อมูลสุขภาพบันทึกอยู่ในฐานข้อมูล UK Biobank ของสหราชอาณาจักร ชี้ว่าผู้หญิงที่เคยกินยาคุมกำเนิดมาแล้วในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต มีความเสี่ยงสูงกว่าผู้อื่นที่จะป่วยด้วยโรคซึมเศร้าได้ตลอดเวลาหลังจากนั้น แต่ความเสี่ยงที่ว่านี้จะพุ่งสูงเป็นพิเศษในช่วง 2 ปีแรกของการใช้ยาคุมกำเนิด


ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น คอปป์ คาลเนอร์จึงให้คำแนะนำว่า คนที่เป็นโรคซึมเศร้าอยู่แล้ว หรือวนเวียนเป็นๆ หายๆ มาหลายครั้งก่อนหน้านี้ รวมทั้งคนที่มีปัญหาสุขภาพจิตทุกรูปแบบ ควรตระหนักว่าตนเองมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้อื่นที่จะป่วยด้วยโรคซึมเศร้าหนักขึ้นกว่าเดิม หากเลือกกินยาฮอร์โมนคุมกำเนิด


หัวใจสำคัญของการกินยาคุมกำเนิดโดยไม่ให้มีผลข้างเคียงต่อสุขภาพจิตนั้น คอปป์ คาลเนอร์บอกว่า ผู้ใช้ยาควรเฝ้าสังเกตอารมณ์ของตนเองอย่างใกล้ชิดเป็นเวลา 2-3 เดือน หลังเริ่มใช้ยาหรือเปลี่ยนยี่ห้อของยาที่เคยใช้อยู่เป็นประจำ และรีบนัดพบผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำปรึกษาทันที หากมีข้อสงสัยหรือความกังวลใดๆ เกี่ยวกับการใช้ยา


บิตเซอร์ให้คำแนะนำด้วยว่า การปรับสูตรยาคุมกำเนิดที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนหลายชนิด จนได้สัดส่วนที่เหมาะสมลงตัวกับสุขภาพกายและจิตของแต่ละบุคคลนั้น ถือเป็นศาสตร์และศิลป์ขั้นสูงที่บุคลากรทางการแพทย์จะต้องให้ความช่วยเหลือคนไข้ได้ เพราะการบำบัดรักษาด้วยฮอร์โมนนั้นมีความเฉพาะตัวสูง และแตกต่างกันออกไปในกรณีของปัจเจกบุคคลแต่ละราย


หากผู้หญิงคนไหนไม่ต้องการรับฮอร์โมนเข้าร่างกาย เพราะเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่ออารมณ์และสุขภาพจิตได้ ยังมีวิธีคุมกำเนิดทางเลือกอีกมากมายหลายแบบ เช่นการใส่ถุงยางอนามัยทั้งแบบของหญิงและของชาย ซึ่งช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ด้วย บางคนอาจเลือกใช้ห่วงคุมกำเนิด หรือไม่ก็ผ่าตัดทำหมันไปเสียเลยเพื่อจบปัญหาอย่างถาวร


 

 


ขอขอบคุณแหล่งที่มาของรูป :   DEMPSEY EWWAN
ขอขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล  : https://www.bbc.com/thai/articles/cg4k1r6dy6wo