Vtama ครีม เป็นยาใช้ทารักษาโรคสะเก็ดเงินทั้งแบบที่มีอาการไม่รุนแรง อาการปานกลาง และอาการรุนแรงมาก ทำงานด้วยการกระตุ้นตัวรับความรู้สึกที่ชื่อ Aryl hydrocarbon Receptors (AhR) ในผิวหนังให้ลดการอักเสบลง ซึ่งเป็นการทำงานแบบเดียวกับยา Topical Coal Tar ที่ใช้รักษาโรคสะเก็ดเงินกันมานานหลายทศวรรษแล้ว เป็นยาใช้เฉพาะที่ กล่าวคือ ใช้ได้ในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทั้ง ใบหน้า คอ และส่วนที่เป็นผิวพับ แต่ห้ามโดนตา ปาก หรืออวัยวะเพศ และเป็นยาสำหรับรักษาอาการในผู้ใหญ่เท่านั้น
จากการทดลองประสิทธิภาพของยาในเฟส 1 และ 2 นั้น Vtama แสดงผลดีตามแบบประเมินภาพรวมโดยแพทย์ (Physician Global Assessment: PGA) ในสัปดาห์ที่ 12 ที่ระดับ PGA=0 หรือ PGA=1 (ตามสเกลนี้คะแนนยิ่งต่ำยิ่งดี) ขณะที่ผลไม่พึงประสงค์ (AE) ของยา Vtama ในทั้ง 2 เฟส ชี้ว่าเกิดในจุดที่ทายาเท่านั้น และอยู่ในระดับไม่รุนแรงถึงปานกลาง ผลข้างเคียงที่พบหลัก ๆ คือ รูขุมขนอักเสบ โรคหวัด (เจ็บจมูกและคอ และมีอาการบวมร่วมด้วย) ไข้หวัดใหญ่ ปวดศีรษะ และผื่นแพ้สัมผัส (ผื่นแดงและคัน)
ขณะที่การทดลองเฟส 3 ซึ่งเป็นเฟสสุดท้ายนั้น คนไข้กลุ่มทดลองทั้งหมด 763 คน มีบางคนถูกสุ่มมาจากเฟส 1 และ2 และใช้ครีม Vtama ต่ออีก 40 สัปดาห์ ตามด้วยการติดตามผล 4 สัปดาห์
ผลปรากฏว่า Vtama แสดงผลความปลอดภัยและความคงทนของประสิทธิภาพของยาที่สอดคล้องกับเฟส 1 และ 2 ขณะที่ผลไม่พึงประสงค์อยู่ในระดับต่ำถึงปานกลาง ในบริเวณที่ทายาเช่นกัน
ในส่วนของการวัดประเมินผลของเฟส 3 ด้วยการตอบแบบสอบถามนั้น 85.8% ของคนไข้บอกว่ารู้สึกว่าควบคุมโรคสะเก็ดเงินได้ด้วยยา Vtama ขณะที่ 83.6% รู้สึกพอใจผลการใช้ Vtama ครีม และ 81.7% เห็นว่า Vtama มีประสิทธิภาพกว่ายาตัวเดิมที่ครองตลาดมายาวนานหลายสิบปี และ 89.5% เห็นพ้องต้องกันว่า Vtama ซึมซาบเร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะ (89%) และรู้สึกดีบนผิวตัวเอง (79.9%)
นายแพทย์ Mark Lebwohl และ Eric J. Waldman หัวหน้าคณะวิจัยเฟส 3 ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารThe New England Journal of Medicine ยินดีกับ Vtama ครีม มากหลังจากที่ต้องใช้ยารักษาโรคสะเก็ดเงินเดิม ๆ มากว่า 20 ปี “ในฐานะหมอ ผมดีใจที่ในที่สุดเราก็มียาอเนกประสงค์ที่ไม่มีสเตียรอยด์ ทาเฉพาะที่วันละครั้ง ที่ผ่านการทดลองเรื่องความปลอดภัยและประสิทธิภาพ รวมถึงผลการรักษาที่คงอยู่นาน 4 เดือน หลังจากคนไข้หยุดทายา”
ทั้งนี้ โรคสะเก็ดเงินส่งผลกระทบต่อคนอเมริกันราว 8 ล้านคน และคนทั่วโลกราว 125 ล้านคน เกิดขึ้นได้ในทุกช่วงอายุ แต่ส่วนใหญ่จะเห็นในคนอายุ 15-25 ปี โดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด อาจมาจากยีนหรือคนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคนี้ หรือเกิดจากความเครียด สภาพอากาศที่เย็นและแห้ง ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินอาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอื่น ๆ ตามมา เช่น ข้ออักเสบ สะเก็ดเงิน ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคอ้วน และโรคซึมเศร้า
ข้อมูล:
https://www.drugs.com/newdrugs/fda-approves-vtama-tapinarof-cream-plaque-psoriasis-adults-5837.html 3https://bit.ly/3MOeRtr