Obicetrapib อีกหนึ่งความหวังใหม่สำหรับผู้ป่วย dyslipidemia

ปฐมฤกษ์ของคอลัมน์ “จับตายาใหม่” ขอนำเสนอข้อมูลทางคลินิกที่น่าสนใจของยา 2 ตัว ในเม็ดเดียวกัน (fixed-dose combination pill) คือ obicetrapib และ ezetimibe ที่น่าจะเป็นความใหม่สำหรับผู้ป่วยภาวะไขมันในเลือดสูงผิดปกติ (dyslipidemia) ที่ยังไม่สามารถลดไขมันในเลือดได้ดีพอ ด้วยการใช้ยาลดไขมันในเลือดกลุ่ม statins หรือ HMG-CoA reductase inhibitors ที่ปัจจุบันมีใช้กันอยู่หลายตัว ไม่ว่าจะเป็น atorvastatin, fluvastatin, lovastatin, pitavastatin, pravastatin, rosuvastatinหรือ simvastatin


 


                Obicetrapib (ของบริษัท NewAmsterdam Pharma ในเนเธอร์แลนด์) ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนของการศึกษาวิจัยทางคลินิก จัดเป็นยารุ่นใหม่หรือรุ่นถัดไป (next-generation) ของยากลุ่ม cholesteryl ester transfer protein (CETP) inhibitors หรือ CEPT inhibitors โดยมีข้อมูลจากการศึกษาทางคลินิกในระยะที่ 2 (randomized, double-blind, placebo-controlled trial) ที่รายงานไว้ใน Nature Medicine ฉบับเดือนสิงหาคม ปี 2022 พบว่า obicetrapib ขนาด 5 หรือ 10 mg รับประทานเพียงวันละครั้ง เป็นเวลา 8 สัปดาห์ สามารถลด low-density lipoprotein cholesterol หรือ LDL-C ซึ่งเป็นไขมันที่มีผลร้ายต่อสุขภาพ ลงได้อย่างมีนัยสำคัญ 41.5% และ 50.8% ตามลำดับ เทียบกับ LDL ที่ลดลงแค่ 6.5% ในกลุ่มที่ได้รับ placebo
               ส่วน ezetimibe เป็นยาในกลุ่ม cholesterol absorption inhibitors ด้วยการออกฤทธิ์ยับยั้งการดูดซึมคอเลสเตอรอล ซึ่งเป็นไขมันชนิดหนึ่ง อย่างจำเพาะเจาะจงที่บริเวณผนังของลำไส้เล็ก โดยปัจจุบัน ezetimibe มีข้อบ่งใช้ทั้งสำหรับการใช้เป็นยาตัวเดียว (monotherapy) และการใช้ร่วมกับยากลุ่ม statins ในการรักษาผู้ป่วยภาวะไขมันในเลือดสูง
                สำหรับข้อมูลทางคลินิกล่าสุดของการใช้ obicetrapib ร่วมกับ ezetimibe ในรูปของ fixed-dose combination pill ในการรักษาผู้ป่วยภาวะไขมันในเลือดสูง มีที่มาจากการศึกษาทางคลินิกแบบ double-blind, randomized, phase 2 trial ที่มีชื่อว่า ROSE2 (Study to Evaluate the Effect of Obicetrapib in Combination with Ezetimibe as an Adjunct to High Intensity Statin Therapy) ซึ่งดำเนินการโดย นายแพทย์ Christie Mitchell Ballantyne (Department of Medicine, Baylor College of Medicine, Houston, Texas, United States) และคณะ ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ใน Journal of Clinical Lipidology ฉบับวันที่ 3 มกราคม 2023
                      


               ROSE2 ทำในผู้ป่วยภาวะไขมันในเลือดสูง (มี fasting LDL-C >70 mg/dL และ triglycerides (TG) <400 mg/dL) ชายและหญิง อายุตั้งแต่ 18 ปี ไปจนถึง 75 ปี จำนวน 119 คน ที่กำลังอยู่ระหว่างการรักษาด้วยยากลุ่ม statins (high-intensity statin therapyหรือ maximally tolerated statins ได้แก่ atorvastatin 40-80 mg หรือ rosuvastatin 20-40 mg ควบคู่ไปกับการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย) ผู้ป่วยถูกสุ่มออกเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มที่ได้รับ placebo (40 คน), กลุ่มที่ได้รับ obicetrapib monotherapy (obicetrapib 10 mg, 39 คน) และกลุ่มที่ได้รับ fixed-dose combination pill ของ obicetrapib 10 mg และ ezetimibe 10 mg (40 คน) เพียงวันละครั้ง ทุกวัน เป็นเวลา 12 สัปดาห์


                ที่ 12 สัปดาห์ เมื่อสิ้นสุดการศึกษา พบว่า ระดับ LDL-C ลดลงจากเมื่อเริ่มต้นการศึกษา 63.4%, 43.5% และ 6.35% ในกลุ่มที่ได้รับ fixed-dose combination pill, กลุ่มที่ได้รับ obicetrapib monotherapy และกลุ่มที่ได้รับ placebo ตามลำดับ ซึ่งระดับ LDL-C ที่ลดลงในกลุ่มที่ได้รับ fixed-dose combination pill และกลุ่มที่ได้รับ obicetrapib monotherapy มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับ placebo (p< 0.0001)
                ขณะเดียวกัน พบว่า ในกลุ่มที่ได้รับ fixed-dose combination pill มีสัดส่วนที่มากกว่าของผู้ที่สามารถบรรลุถึงเป้าหมายในการลดระดับ LDL-C น้อยกว่า 100 mg/dL, น้อยกว่า 70 mg/dL และน้อยกว่า 55 mg/dLอยู่ที่ 100%, 93.5% และ 87.1% ตามลำดับ เทียบกับ 66.7%, 16.7% และ 0.0% ตามลำดับ ของกลุ่มที่ได้รับ placebo(p


 


                 

                พร้อมกันนี้ พบว่า กลุ่มที่ได้รับ fixed-dose combination pill ของ obicetrapib และ ezetimibe และกลุ่มที่ได้รับ obicetrapib monotherapy มีระดับ non-HDL-C ลดลงจากเมื่อเริ่มต้นการศึกษา 55.6% และ 37.5% ตามลำดับ ควบคู่ไปกับการมีระดับ apolipoprotein (Apo) B ลดลงจากเมื่อเริ่มต้นการศึกษา 34.4% และ 24.2% ตามลำดับ
                นอกจากนี้ ยังพบว่ากลุ่มที่ได้รับ fixed-dose combination pill ของ obicetrapib และ ezetimibe มีระดับ high-density lipoprotein cholesterol (HDL-C) ซึ่งเป็นไขมันชนิดที่มีผลดีต่อสุขภาพ เพิ่มขึ้นจากเมื่อเริ่มต้นการศึกษา 136% และเพิ่มขึ้น 142% ในกลุ่มที่ได้รับ obicetrapib monotherapy โดยมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับ placebo (p< 0.0001)
                 ส่วนข้อมูลด้านความปลอดภัยหลัก ๆ ในการศึกษานี้ พบว่า มีรายงานของ treatment-emergent adverse events ใน 35 คน (29.4%) ของผู้เข้าร่วมการศึกษาทั้งหมด 119 คน ซึ่งในจำนวนนี้มี 16 คน (40.0%) ที่อยู่ในกลุ่มที่ได้รับ placebo, 8 คน (20.5%) อยู่ในกลุ่มที่ได้รับ obicetrapib monotherapy และ 11 คน (27.5%) อยู่ในกลุ่มที่ได้รับ fixed-dose combination pill ของ obicetrapib และ ezetimibe ผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์ที่มีรายงานพบได้บ่อยในการศึกษานี้ ได้แก่ nausea, urinary tract infection และ headache ซึ่งส่วนใหญ่มีความรุนแรงอยู่ในระดับเล็กน้อยถึงปานกลางเท่านั้น
                โดยมีผู้เข้าร่วมการศึกษาแค่ 5 คนเท่านั้น ที่ต้องถอนตัวออกจากการศึกษา เนื่องจากมี adverse events เกิดขึ้น ประกอบด้วย 2 คน (5.0%) ในกลุ่มที่ได้รับ placebo, 2 คน (5.1%) ในกลุ่มที่ได้รับ obicetrapib monotherapy และ 1 คน (2.5%) ในกลุ่มที่ได้รับ fixed-dose combination pill ของ obicetrapib และ ezetimibe


 


แหล่งที่มาของข้อมูล : www.healio.com, https://ir.newamsterdampharma.com