ภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วนลงพุง เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของทั่วโลกอยู่ในปัจจุบัน และมีแนวโน้มชัดเจนว่าปัญหาโรคอ้วนจะทวีความรุนแรงมากขึ้น ดังนั้น ยาที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยจึงเป็นทางเลือกที่กำลังเป็นที่ต้องการกันอย่างยิ่งสำหรับใช้เป็นอาวุธในการต่อสู้กับปัญหานี้
ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา tirzepatide เป็น investigational medicine หรือว่าที่ยาตัวใหม่ ที่มีการพูดถึงกันค่อนข้างมากและถูกจับตากันมากเป็นพิเศษเกี่ยวกับผลในการลดน้ำหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากในปี 2565 มีผลลัพธ์ที่สร้างความฮือฮาของการศึกษาทางคลินิกที่มีชื่อว่า SURMOUNT-1 ออกมาว่า tirzepatide ขนาด 15 มิลลิกรัม ฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนัง (subcutaneous) เพียงสัปดาห์ละครั้ง เป็นเวลา 72 สัปดาห์ สามารถลดน้ำหนักลงได้ถึง 52 ปอนด์ หรือ 24 กิโลกรัม
Tirzepatide เป็นยาฉีดที่ไม่ใช่อินซูลินที่ออกฤทธิ์เป็นทั้ง glucose-dependent insulinotropic polypeptide (GIP) และ glucagon-like peptide-1 (GLP-1) receptor agonist ควบคู่กันไป หรือ dual GIP/GLP-1 receptor agonist ซึ่งมีผลกระตุ้นการหลั่งอินซูลินและลดระดับ glucogan โดยในเดือนพฤษภาคม ปี 2565 สำนักงานอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (Food and Drug Administration หรือ FDA) ได้ให้การรับรอง tirzepatide สำหรับลดระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 2 หลังจากมีผลลัพธ์ของการศึกษาทางคลินิกที่ชื่อว่า SURPASS-1 ออกมาว่า tirzepatide สามารถลด hemoglobin A1C (HbA1C) ลงได้เป็นอย่างดี โดยช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 2 ถึง 88% มีระดับ HbA1C ลดลงต่ำกว่า 7% และรวมถึงช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 2 ถึง 52% ที่มีระดับ HbA1C สูงกว่า 7% เมื่อเริ่มต้นการศึกษา กลับมามี normoglycemic status (HbA1c < 5.7%) นอกจากนี้ ยังพบว่า tirzepatide ขนาด 15 มิลลิกรัม ฉีดเพียงสัปดาห์ละครั้ง สามารถลดน้ำหนักผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 2 ลงได้ถึงประมาณ 9.5 กิโลกรัม ในช่วง 40 สัปดาห์ของการศึกษา จึงเป็นที่มาของการศึกษาอย่างจริงจังเกี่ยวกับผลของ tirzepatide ในการลดน้ำหนักในผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน หรืออ้วนลงพุง
SURMOUNT-1 เป็น phase 3 double-blind, randomized, controlled trial ในผู้ที่มีน้ำหนักเกิน หรืออ้วนลงพุง จำนวนประมาณ 2,500 คน (มี body mass index หรือ BMI ตั้งแต่ 30 kg/m2 ขึ้นไป และมี mean body weight เมื่อเริ่มต้นการศึกษาอยู่ที่ 104.8 กิโลกรัม) แต่ไม่ได้เป็นโรคเบาหวาน เปรียบเทียบระหว่าง tirzepatide (5 mg, 10 mg และ 15 mg) ฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนังเพียงสัปดาห์ละครั้ง และ placebo เป็นเวลา 72 สัปดาห์ ผลการศึกษาที่รายงานออกมาในช่วงกลางปี 2565 พบว่า มีน้ำหนักลดลง -15.0%, -19.5% และ -20.9% ในกลุ่มที่ได้รับ tirzepatide 5 mg, 10 mg และ 15 mg ตามลำดับ เทียบกับ -3.1% ของกลุ่มที่ได้รับ placebo ซึ่งแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001)
ล่าสุดในปี 2566 นี้ ก็มีผลลัพธ์ของอีก 1 การศึกษาที่สำคัญของ tirzepatide ออกมาสร้างความฮือฮาและตอกย้ำถึงการมีประสิทธิภาพที่น่าประทับใจของว่าที่ยารักษาโรคอ้วนตัวใหม่ตัวนี้ โดยการศึกษานี้มีชื่อว่า SURMOUNT-2 เป็นการศึกษาแบบ double-blind, randomised, multicentre, placebo-controlled, phase 3 trial ในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 2 จำนวนประมาณ 938 คน อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป และจัดว่ามีภาวะน้ำหนักเกิน หรืออ้วนลงพุง คือมี body mass index (BMI) ตั้งแต่ 27 kg/m2 ขึ้นไป และมีระดับ HbA1c ระหว่าง 7-10% เปรียบเทียบระหว่างการได้รับ tirzepatide ขนาด 10 mg หรือ 15 mg ฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนังเพียงสัปดาห์ละครั้ง และ placebo เป็นเวลา 72 สัปดาห์ ผลการศึกษาที่รายงานออกมาในเดือนมิถุนายน 2566 พบว่า กลุ่มที่ได้รับ tirzepatide ขนาด 10 mg มี body weight ลดลง 12.8% และลดลง 14.7% ในกลุ่มที่ได้รับ tirzepatide ขนาด 15 mg เทียบกับที่ลดลง 3.2% ในกลุ่มที่ได้รับ placebo ซึ่งแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.0001)
ขณะเดียวกันพบว่า มากกว่า 60% ของผู้ป่วยโรคอ้วนที่มีโรคเบาหวาน ชนิดที่ 2 ร่วมด้วย สามารถลดน้ำหนักลงได้อย่างน้อย 10% เมื่อได้รับการรักษาด้วย tirzepatide ขนาด 10 mg หรือ 15 mg ฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนังเพียงสัปดาห์ละครั้ง เป็นเวลา 72 สัปดาห์ โดย 21.5% ของกลุ่มที่ได้รับ tirzepatide ขนาด 10 mg บรรลุถึงการมี weight loss ได้ตั้งแต่ 20% ขึ้นไป และ 30.8% ของกลุ่มที่ได้รับ tirzepatide ขนาด 15 mg บรรลุถึงการมี weight loss ได้ตั้งแต่ 20% ขึ้นไป
พร้อมกันนี้ ยังพบว่ากลุ่มที่ได้รับ tirzepatide ขนาด 10 mg หรือ 15 mg มีระดับ HbA1c ลดลง 2.1% ที่ 72 สัปดาห์ของการศึกษา เทียบกับที่ลดลง 0.5% ในกลุ่มที่ได้รับ placebo โดยประมาณ 87% ของกลุ่มที่ได้รับ tirzepatide ขนาด 10 mg และ 84.2% ของกลุ่มที่ได้รับ tirzepatide ขนาด 15 mg บรรลุถึงการมีระดับ HbA1c น้อยกว่า 7% ที่ 72 สัปดาห์ของการศึกษา เทียบกับ 36.2% ของกลุ่มที่ได้รับ placebo ขณะที่ในแง่การกลับมามีระดับน้ำตาลในเลือดเป็นปกติ คือ มีระดับ HbA1c น้อยกว่า 5.7% พบว่า 46% และ 48.6% ของกลุ่มที่ได้รับ tirzepatide ขนาด 10 mg และ 15 mg ตามลำดับ บรรลุถึงการมี normal glycemic levels ที่ 72 สัปดาห์ของการศึกษา เทียบกับ 3.9% ของกลุ่มที่ได้รับ placebo
ส่วนเรื่องความปลอดภัย โดยรวมพบว่ามีอุบัติการณ์ของ treatment-emergent adverse events ไม่แตกต่างกันมากนักในทั้ง 3 กลุ่ม กล่าวคือ 78% และ 71% ในกลุ่มที่ได้รับ tirzepatide ขนาด 10 mg และ 15 mg ตามลำดับ เทียบกับ 76% ของกลุ่มที่ได้รับ placebo โดย adverse events ที่มีรายงานพบได้บ่อยในกลุ่มที่ได้รับ tirzepatide ไม่ว่าจะเป็นขนาด 10 mg หรือ 15 mg ก็คือ gastrointestinal disorders เช่น nausea, vomiting และ diarrhea
สำหรับสถานการณ์ของโรคอ้วนในปัจจุบัน จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization หรือ WHO) ในปี 2564 พบว่า นับตั้งแต่ปี 2518 เป็นต้นมา อุบัติการณ์ของโรคอ้วนทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัว โดยในปี 2559 ทั่วโลกมีประชากรอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน (BMI ตั้งแต่ 25 kg/m2 ขึ้นไป) อยู่ถึง 1.9 พันล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้มีอยู่ถึง 650 ล้านคน ที่เป็นโรคอ้วน (BMI ตั้งแต่ 30 kg/m2 ขึ้นไป) และในปี 2563 ทั่วโลกมีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี จำนวนถึง 39 ล้านคน ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน หรือเป็นโรคอ้วน