ใช้ยาผสมร่วมช่วยลดอ่อนเพลียโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์

HealthDay News

การศึกษาครั้งใหม่รายงานว่า การรักษาแบบเข้มข้นแต่เริ่มแรกด้วยยา methotrexate และ prednisone สามารถบรรเทาอาการอ่อนเพลียในผู้ป่วยที่เป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้
    สันนิบาต European League Against Rheumatism (EULAR) รายงานว่า โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ทำให้ข้อต่อเกิดอักเสบเรื้อรัง และการอักเสบนั้นสามารถทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียรุนแรงซึ่งไม่อาจบรรเทาลงได้ด้วยการพักผ่อน
    “นอกจากอาการปวดแล้ว การอ่อนเพลียยังลดคุณภาพชีวิตของหลาย ๆ คน มากยิ่งกว่าอาการข้อบวม” Iain McInnes ประธานของ EULAR กล่าวในข่าวเผยแพร่ของสันนิบาต  เขาเป็นศาสตราจารย์สาขารูมาตอยด์วิทยาที่ University of Glasgow ในสกอตแลนด์
    แต่แพทย์มักจะไม่ได้ใส่ใจเพียงพอกับอาการอ่อนเพลียของผู้ป่วย เขากล่าวเพิ่มเติม
    “ผู้ป่วยมากถึงร้อยละ 90 ที่เป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์บอกว่ารู้สึกอ่อนเพลียมาก” Diederik De Cock นักวิจัยที่ KU Leuven ในประเทศเบลเยียมกล่าว
    การศึกษาเป็นเวลา 2 ปี ของ McInnes ครอบคลุมผู้ป่วยโรครูมาตอยด์ 80 คน ซึ่งเริ่มใช้ยาทันทีหลังจากได้รับการวินิจฉัยโรค
    ผู้ป่วยเหล่านี้ได้รับยา methotrexate สัปดาห์ละ 15 มิลลิกรัม (กลุ่มควบคุม) หรือได้รับยาผสม  ยาผสมประกอบด้วยยา methotrexate 15 มิลลิกรัม และยา cortisone (prednisone) 30 มิลลิกรัมต่อสัปดาห์ ซึ่งสุดท้ายได้ลดลงเหลือ 5 มิลลิกรัมต่อสัปดาห์
    ยา methotrexate ช่วยยับยั้งการอักเสบที่สัมพันธ์กับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์  ในขณะที่ยา prednisone บรรเทาอาการปวดและอักเสบของข้อ
    การศึกษาพบว่า ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาอย่างเข้มข้นด้วยยาผสมร่วมเป็นเวลา 2 ปี รู้สึกเหนื่อยน้อยกว่าผู้ที่อยู่ในกลุ่มควบคุม แม้ทั้ง 2 กลุ่ม จะมีปฏิกิริยาของโรคเหมือนกัน
    และระดับความอ่อนเพลียระหว่าง 2 กลุ่ม แตกต่างกันมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป จากผลการศึกษา
    “ระยะเริ่มแรกของโรคเป็นโอกาสที่จะรักษาอาการอ่อนเพลียได้” De Cock กล่าวในข่าวเผยแพร่
    มีการนำเสนอผลการศึกษานี้แบบออนไลน์ใน E-Congress 2020 ของ EULAR ผลการค้นพบที่นำเสนอต่อที่ประชุมถือเป็นรายงานเบื้องต้นจนกว่าจะมีการเผยแพร่ในวารสารเมื่อได้ผ่านการทบทวนแล้ว
    จากผลการค้นพบดังกล่าว  EULAR ให้ความเห็นว่า ควรพิจารณาให้การรักษาแบบเข้มข้นตั้งแต่ระยะเริ่มแรกของโรคแม้แต่ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่ำก็ตาม
    โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์มีผลกระทบต่อร้อยละ 1 ของประชากรทั่วโลก