คนป่วยวัยหนุ่มสาวที่ใช้ยา HIV ล่าสุดมีอายุคาดเฉลี่ยใกล้เคียงกับคนปกติเนื่องจากมีฤทธิ์ที่ดีขึ้นในการรักษา การศึกษาใน The Lancet รายงาน
การศึกษา พบว่า ผู้ป่วยวัย 20 ปี ที่เริ่มรักษาด้วยยาต้านไวรัสในปี 2010 คาดว่าจะมีชีวิตอยู่นานขึ้นกว่าผู้ที่ใช้ยานี้ครั้งแรกในปี 1996 ถึง 10 ปี
แพทย์กล่าวว่าการเริ่มต้นรักษาแต่เริ่มแรกมีความสำคัญยิ่งต่อการมีชีวิตยืนยาวและแข็งแรง
ขณะที่องค์การการกุศล กล่าวว่า ยังมีคนเป็นจำนวนมากไม่ทราบว่าตนเองติดเชื้อไวรัส ซึ่งเป็นความจริงโดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งการเสียชีวิตด้วย HIV ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะการเข้าถึงยามีจำกัด
ผู้เขียนรายงานการศึกษาจาก University of Bristol กล่าวว่า ความสำเร็จที่เหนือธรรมดาของการรักษา HIV เป็นผลของยารุ่นใหม่กว่าที่มีผลข้างเคียงน้อยกว่า และมีความสามารถสูงกว่าในการป้องกันไวรัสไม่ให้ทำสำเนาเพิ่มจำนวนในร่างกาย
และไวรัสยังสร้างการต่อต้านยาล่าสุดได้ยากมากขึ้น
เชื่อว่าโปรแกรมการคัดครองและการป้องกันที่ดีขึ้นและการรักษาปัญหาสุขภาพที่มีสาเหตุจาก HIV ซึ่งทำได้ขึ้นนั้นจะช่วยผู้ป่วยได้ด้วย
แต่คนที่ติดเชื้อ HIV จำนวนมากไม่มีอายุยืนยาวเท่ากับที่คาดไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ติดเชื้อจากการฉีดยา
การรักษาด้วยยาต้านไวรัสจะใช้การผสมยาตั้งแต่ 3 ชนิดขึ้นไป ซึ่งเป็นยาที่ยับยั้งการรุกคืบตามปกติของ HIV
เรียกว่า เป็น “หนึ่งในเรื่องราวความสำเร็จทางสาธารณสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบ 40 ปีที่ผ่านมา
ยา ‘ใช้ได้ผล’
Jimmy Isaacs อายุ 28 ปี พบว่า เขาติดเชื้อ HIV จากคู่ชีวิตก่อนหน้านี้เมื่อเกือบ 3 ปีที่ผ่านมา
เขาใช้ยา 3 ชนิด วันละครั้งในเวลา 18.00 น. และจะต้องใช้ยาเช่นนี้ต่อไปตลอดชีวิต
“สุขภาพของผมดีมาก ผมรับประทานอย่างถูกสุขภาพและดื่มอย่างถูกสุขภาพ” Isaacs กล่าวและว่า
“มันไม่มีผลกระทบต่องานของผมและไม่มีผลกระทบต่อชีวิตทางสังคมของผมด้วย”
ถ้าแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงยา 2 ครั้ง เพื่อหาส่วนผสมที่เหมาะกับเขา แต่ Isaacs บอกว่าตอนนี้เขาไม่มีผลข้างเคียงเลย
“ผมได้ยินเรื่องแย่ ๆ มามากมายเกี่ยวกับยาที่ย้อนหลังไปในทศวรรษ 90 แต่เมื่อผมค้นคว้าดู ผมถึงได้รู้ว่ายาทั้งหลายได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว”
นายจ้างปัจจุบันของเขาให้เขาได้หยุดพักงานเพื่อเดินทางไปทั่วประเทศและพูดคุยกับนักศึกษาและนักเรียนในโรงเรียนเกี่ยวกับการป้องกันและการรักษา HIV
คณะผู้วิจัยได้ศึกษาประชากรที่ติดเชื้อ HIV 88,500 คน จากยุโรปและอเมริกาเหนือซึ่งมีส่วนร่วมกับการศึกษา 18 ชิ้น
นักวิจัยอาศัยพยากรณ์อายุคาดเฉลี่ยของพวกเขาโดยอาศัยอัตราการเสียชีวิตระหว่าง 3 ปีแรก ของการติดตามผลหลังจากเริ่มต้นการรักษาด้วยยา
พบว่า ผู้ป่วยที่เริ่มใช้ยาระหว่างปี 2008 และ 2010 เสียชีวิตในช่วงเวลาดังกล่าวน้อยกว่าเมื่อเทียบกับผู้ที่เริ่มการรักษาระหว่างปี 1996 และ 2007
อายุที่คาดว่าจะเสียชีวิตสำหรับผู้ป่วยอายุ 20 ปี ที่เริ่มใช้การรักษาด้วยยาต้านไวรัส (antiretroviral therapy: ART) หลังปี 2008 โดยมีปริมาณไวรัสต่ำและหลังจากปีแรกของการรักษา คือ 78 ปี เหมือนกับประชากรทั่วไป
อะไรคือการรักษาด้วยยาต้านไวรัส
การใช้ยาครั้งแรกในปี 1996 ได้ใช้ยาตั้งแต่ 3 ชนิดขึ้นไป ผสมกัน ซึ่งหยุดไรวัสไม่ให้ทำสำเนาเพิ่มจำนวน
นั่นหมายความว่า สามารถป้องกันความเสียหายที่มีต่อระบบภูมิคุ้มกันได้และหยุดโรคไม่ให้แพร่ไปสู่ผู้อื่น
ยาที่ออกมาเมื่อเร็ว ๆ นี้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและมีผลข้างเคียงน้อยลง
องค์การอนามัยโลกแนะนำให้เริ่มใช้ยาต้านไวรัสให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้หลังจากการวินิจฉัยโรค
Dr.Michael Brady ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ที่ Terrence Higgins Trust กล่าวว่า การศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไปตั้งแต่ HIV เริ่มแพร่ระบาดในทศวรรษ 1980
แต่เขาบอกว่า นั่นยังหมายถึงว่าผู้ที่อายุมากกว่า 50 ปี ในเวลานี้มีอยู่ 1 ใน 3 ของคนที่มีชีวิตอยู่กับ HIV ทั้งหมด
“อย่างที่เป็นมา ระบบรักษาพยาบาล สังคมสงเคราะห์ และสวัสดิการไม่พร้อมที่จะสนับสนุนจำนวนที่เพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อ HIV ซึ่งอายุมากขึ้น”
“เราจำเป็นต้องมีรูปแบบใหม่ของการดูแลผู้ป่วยเพื่อประสานการดูแลเบื้องต้นกับบริการของผู้เชี่ยวชาญด้าน HIV และเราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการตระหนักรู้และการฝึกอบรมเกี่ยวกับ HIV และภาวะชราภาพ เพื่อให้เราพร้อมที่จะช่วยให้ผู้สูงอายุมีชีวิตที่ดีต่อไป” Dr.Brady กล่าว
‘ความสำเร็จทางการแพทย์’
Prof. Helen Stokes-Lampard ซึ่งเป็นประธาน Royal College of GPs ประเทศอังกฤษ กล่าวว่า “เป็นความสำเร็จทางการแพทย์อันยิ่งใหญ่ที่การติดเชื้อซึ่งครั้งหนึ่งมีพยากรณ์โรคที่น่าสะพรึงกลัว กลายเป็นโรคที่สามารถจัดการได้ในปัจจุบัน และผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV มีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ”
“เราหวังว่าผลการศึกษาจะประสบความสำเร็จในที่สุดในการขจัดร่องรอยปัญหาเกี่ยวกับ HIV ที่เหลืออยู่ออกไป และให้มั่นใจว่า ผู้ป่วย HIV จะสามารถมีชีวิตยืนยาวและอยู่อย่างมีสุขภาพดีโดยไม่ต้องประสบปัญหาความยากลำบากในการหางานทำ และได้รับหลักประกันในการรักษาพยาบาลในประเทศที่มีความจำเป็น”
เธอบอกว่า “เรากำลังอยู่ในขั้นตอนเพิ่มการทดสอบที่เหมาะสมกับ HIV โดยให้แพทย์ทั่วไปทดสอบ”
อัตราส่วนของผู้ที่ติดเชื้อ HIV โดยไม่ได้รับการวินิจฉัยลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่เชื่อว่าผู้ติดเชื้อ HIV 1 ใน 8 คน ยังไม่ได้รับการวินิจฉัย