การใช้ยา metformin มีความสัมพันธ์กับอัตราการเสียชีวิตโดยรวมที่ลดต่ำลง แต่ไม่ช่วยให้ผลการรักษาที่เกี่ยวกับตับดีขึ้น
    ผู้ป่วยหลายรายที่เป็นโรคตับอักเสบจากไขมันแทรกตับ (nonalcoholic steatohepatitis: NASH)จะมีโรคเบาหวานร่วมด้วย เนื่องจากเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อ NASH  ส่วนยา metformit เป็นยาที่ใช้กันทั่วไปสำหรับรักษาโรคเบาหวาน อย่างไรก็ตาม ผลกระทบทางคลินิกของการใช้ยา metformin ในผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคตับแข็งที่เกี่ยวข้องกับ NASH ยังไม่ชัดเจน
    ในการศึกษาแบบมองย้อนหลังกับผู้ป่วยในระบบรักษาพยาบาลทหารผ่านศึก Veterans Health Administration ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคตับแข็งระหว่างปี 2008 และ 2016  โดยเฉพาะในกลุ่มที่ศึกษาประกอบด้วยผู้ป่วยที่เป็นโรคตับแข็งและมีโรคเบาหวานที่เป็นมาก่อน ครอบคลุมทั้งผู้ที่ใช้หรือไม่ได้ใช้ยา metformin และมีการประเมินผลกระทบจากการใช้ยา metformin ต่ออัตราการเสียชีวิต อาการของโรคตับแข็งระยะสุดท้าย (hepatocellular carcinoma) และโรคมะเร็งของเซลล์ตับ (hepatocellular carcinoma)
     จากผู้ป่วยเกือบ 75,000 คนในการศึกษานี้ มีผู้ป่วยโรคเบาหวานร้อยละ 54 ก่อนวินิจฉัยว่าเป็นโรคตับแข็งและมีผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวานร้อยละ 5 ระหว่างการติดตามผล
     หลังจากปรับการใช้ยาแอสไพริน สแตติน และ angiotensin-converting–enzyme inhibitors หรือ angiotensin-2–receptor blockers พบว่ายา metformin มีความสัมพันธ์กับอัตราการเสียชีวิตโดยรวมที่ลดลง (harard ration = 0.68) และพบความสัมพันธ์ของการตอบสนองกับยาในการวิเคราะห์ตามเวลาที่กำหนดอย่างไรก็ตาม ไม่พบความสัมพันธ์กับการลดลงของอาการตับแข็งระยะสุดท้ายโรคมะเร็งของเซลล์ตับ หรืออัตราการเสียชีวิตที่สัมพันธ์กับโรคตับ  การค้นพบเหล่านี้มีความสอดคล้องกันไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวานก่อนการพบโรคตับแข็งหรือกำลังเกิดโรคเบาหวานระหว่างการติดตามผล
    การศึกษาฐานข้อมูลขนาดใหญ่แสดงให้เห็นว่า โดยภาพรวมยา metformin มีความปลอดภัยในการใช้กับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่เป็นโรคตับแข็ง  ที่สำคัญคือ อัตราการรอดชีวิตโดยรวมดีขึ้นจากการใช้ยาในประชากรกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตาม การที่ยาไม่ได้เกิดประโยชน์กับตับแสดงว่า ผลดีต่อการรอดชีวิตมาจากการควบคุมเบาหวานที่ดีขึ้นและการลดลงของภาวะแทรกซ้อนในหัวใจและหลอดเลือด   ผลการค้นพบนี้ควรจะสนับสนุนให้แพทย์คลินิกพิจารณาการใช้ยา metformin ไม่เพียงในประชากรทั่วไปที่เป็นโรคเบาหวานเท่านั้น แต่รวมไปถึงผู้ป่วยโรคตับแข็งด้วย
     หมายเหตุถึงผู้อ่าน:  ผู้เผยแพร่รายงานนี้ระบุว่า รายงานนี้ยังไม่ใช่ฉบับหลังสุดและอาจมีการเปลี่ยนแปลงในภายหลังได้