ม.41 กองทุนบัตรทองกว่า 18ปี ช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยที่ได้รับความเสียหายจากการรับบริการฯ แล้วกว่า1.33หมื่นราย รวมเป็นเงินช่วยเหลือ2,471 ล้านบาทเผยเป็นกรณีเสียชีวิต/ทุพพลภาพถาวร 6,876ราย สูญเสียอวัยวะ/พิการ 1,848ราย บาดเจ็บ/รักษาต่อเนื่อง4,630ราย ระบุเป็นบทพิสูจน์กลไกบรรเทาความเดือดร้อนให้ผู้ป่วยและครอบครัว ต้นแบบเยียวยาแพ้วัคซีนโควิด-19
นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า การให้บริการทางการแพทย์และสาธารณสุขภายใต้ “ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” (บัตรทอง) แม้ว่า สปสช.กระทรวงสาธารณสุข แพทยสภา ราชวิทยาลัยและสภาวิชาชีพทางการแพทย์ ตลอดจนหน่วยบริการสังกัดหน่วยงานต่างๆ ได้ร่วมดำเนินการเพื่อจัดสิทธิประโยชน์บริการรักษาพยาบาลและสาธารณสุขที่จำเป็นให้กับประชาชนผู้มีสิทธิอย่างมีคุณภาพและมาตรฐาน แต่โอกาสที่จะเกิดภาวะไม่พึงประสงค์จากการรับบริการย่อมเกิดขึ้นได้ดังนั้นเพื่อสร้างความมั่นใจต่อการเข้ารับบริการและเป็นการดูแลช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยหากเกิดภาวะไม่พึงประสงค์ขึ้นทั้งยังช่วยลดความขัดแย้งและการฟ้องร้องระหว่างผู้รับบริการและผู้ให้บริการในระบบสุขภาพได้จำเป็นต้องมีมาตรการรองรับเพื่อแก้ไขปัญหา
ด้วยเหตุนี้พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 มาตรา 41 ได้กำหนดให้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) กันเงินจำนวนหนึ่งไม่เกินร้อยละ 1 ของเงินที่จ่ายให้กับหน่วยบริการไว้เป็นเงินช่วยเหลือเบื้องต้นให้แก่ผู้รับบริการในกรณีที่ได้รับความเสียหายที่เกิดจากการรักษาพยาบาลโดยไม่ต้องพิสูจน์ถูกผิดโดยในช่วงแรก สปสช.กำหนดประเภทความเสียหายและอัตราการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นเป็น 3 กรณี คือกรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพอย่างถาวร จ่ายเงินช่วยเหลือไม่เกิน 200,000 บาท, กรณีสูญเสียอวัยวะหรือพิการ จ่ายเงินช่วยเหลือไม่เกิน 120,000 บาท และกรณีบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยต่อเนื่อง จ่ายเงินช่วยเหลือไม่เกิน 50,000 บาท
ต่อมาเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2555ได้มีการปรับเพิ่มจำนวนการจ่ายเงินช่วยเหลือ โดยกรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพอย่างถาวร เป็นการจ่ายเงินช่วยเหลือตั้งแต่ 240,000 บาท แต่ไม่เกิน 400,000 บาท กรณีสูญเสียอวัยวะหรือพิการ เป็นการจ่ายเงินช่วยเหลือตั้งแต่ 100,000 บาท แต่ไม่เกิน 240,000 บาท และกรณีบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยต่อเนื่อง เป็นการจ่ายเงินช่วยเหลือไม่เกิน 100,000 บาท
นพ.จเด็จ กล่าวว่า จากการดำเนินการตามมาตรา 41 ที่ผ่านมาในช่วงเริ่มต้นจำนวนผู้ป่วยหรือญาติผู้ป่วยได้ขอรับการช่วยเหลือเบื้องต้นฯ มีไม่มาก โดยปี 2547ที่เป็นปีเริ่มต้นมีจำนวน 73ราย เป็นเงินช่วยเหลือ4.86 ล้านบาท อย่างไรก็ตามแม้ว่าต่อมาจำนวนการยื่นคำร้องและการช่วยเหลือจะเพิ่มมากขึ้นรวมถึงจำนวนเงินการช่วยเหลือเบื้องต้นฯ แต่ถือว่าเป็นจำนวนไม่มากเมื่อเปรียบเทียบกับการเข้ารับบริการของประชาชนผู้มีสิทธิ
ทั้งนี้เมื่อดูข้อมูลการช่วยเหลือเบื้องต้นฯ ตามมาตรา 41ตั้งแต่ปี 2547–2564หรือในช่วง 18 ปีที่ผ่านมา มีผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือเบื้องต้นฯ ทั้งสิ้น 12,773ราย หรือเฉลี่ยปีละ 705 ราย เป็นกรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพอย่างถาวร 6,537 ราย กรณีสูญเสียอวัยวะหรือพิการ 1,797 ราย และกรณีบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยต่อเนื่อง 4,439 ราย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น2,325.43ล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 129.19 ล้านบาท โดยปี 2562เป็นปีที่มีผู้ที่ได้การช่วยเหลือเบื้องต้นฯ สูงสุด 970 ราย และเป็นปีที่มีการจ่ายเงินช่วยเหลือสุดสุดเช่นกัน228.01 ล้านบาท
สำหรับในปีงบประมาณ 2565 นี้ ช่วงครึ่งปีแรก (เดือน ต.ค. - มี.ค.) มีผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือเบื้องต้นฯ แล้ว 581 รายเป็นกรณีเสียชีวิตหรือทุพลภาพถาวร 339 ราย กรณีสูญเสียอวัยวะหรือพิการ 51 ราย และกรณีบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยต่อเนื่อง 191 ราย รวมเป็นเงินช่วยเหลือจำนวน 146.519 ล้านบาทอย่างไรก็ตามเมื่อรวมทั้งหมดจนถึงเดือน มี.ค. 2565 มีผู้ป่วยที่ได้รับการช่วยเหลือฯ ทั้งสิ้น 13,354 ราย เป็นกรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพ 6,876 ราย กรณีสูญเสียอวัยวะหรือพิการ 1,848 ราย และกรณีบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยต่อนเอง 4,630 ราย รวมเป็นเงินช่วยเหลือทั้งสิ้น 2,471.94 ล้านบาท
“จากข้อมูลจะเห็นได้ว่ากลไกการช่วยเหลือนี้ แต่ละปีมีจำนวนไม่มาก รวมถึงงบประมาณที่จ่ายไปแต่ได้ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ป่วยและครอบครัวทั้งยังได้รับการยอมรับโดยในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ถูกนำไปเป็นต้นแบบการช่วยเหลือผู้ที่เกิดภาวะไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีนโควิด-19 เพื่อกระตุ้นและสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนที่สำคัญกลไกนี้ยังมีส่วนผลักดันการพัฒนาให้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมีคุณภาพและมาตรฐานยิ่งขึ้น” เลขาธิการ สปสช. กล่าว