การศึกษาการใช้จริงในประเทศไทย เผยว่า วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า มีประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อจากสายพันธุ์โอมิครอนสูงถึง 73% หลังการฉีดเป็นวัคซีนเข็มกระตุ้นที่สี่

ผลการศึกษาประสิทธิผลของวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยทีมวิจัยจากคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่และคณะ1 พบว่าวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้ามีประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน หลังการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าเป็นวัคซีนเข็มกระตุ้นที่สี่


หลักฐานการใช้จริงจากทั่วโลกแสดงให้เห็นว่า วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า มีประสิทธิผลของวัคซีน (Vaccine Effectiveness, VE) อยู่ที่ 73% (95% ช่วงความเชื่อมั่น [CI] 48-89%) ในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่สามารถแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว เมื่อได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าเป็นวัคซีนเข็มกระตุ้นที่สี่ โดยไม่ขึ้นกับชนิดของวัคซีนที่ได้รับก่อนหน้า1 โดยผู้วิจัยระบุว่า


ผลการศึกษานี้เป็นข้อมูลชุดแรกที่ประเมินประสิทธิผลของวัคซีนป้องกันโควิด-19 แบบสูตรไขว้ (Heterologous)


สี่เข็ม 1


ผลการวิจัยดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์แบบฉบับ preprint ใน Research Square


ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า วัคซีนป้องกันโควิด-19 เข็มกระตุ้นที่สี่ทุกชนิดที่ทำการศึกษามีประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนสูงถึง 75% (VE 75%, 95% CI 71-80%) โดยประสิทธิผลของวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้านั้นอยู่ที่ 73% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับใกล้เคียงกับวัคซีน mRNA อื่นๆ ที่ทำการศึกษาในงานวิจัยนี้ซึ่งมีค่าประสิทธิผลอยู่ที่ 71% (VE 71%, 95% CI 59-79%) โดยประสิทธิผลของวัคซีนดังกล่าวถูกปรับเพื่อขจัดอิทธิพลจากตัวแปรต่างๆ ได้แก่ อายุ เพศ เวลาการรับวัคซีนตามปฏิทิน และประเภทของสูตรวัคซีนที่ได้รับก่อนหน้า1


ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ. ดร. สุวัฒน์ จริยาเลิศศักดิ์ คณบดีคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า “การศึกษานี้ได้แสดงให้เห็นถึงข้อมูลที่สำคัญว่า วัคซีนป้องกันโควิด-19 เข็มกระตุ้นที่สี่ไม่ว่าจะเป็นชนิดใดก็ตาม มีประสิทธิผลในการช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่สามารถระบาดได้อย่างรวดเร็ว การสร้างภูมิคุ้มกันอย่างต่อเนื่องด้วยการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นจึงเป็นสิ่งสําคัญอย่างยิ่งสําหรับประชากรกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรัง นอกจากนี้ ผลการวิจัยยังสนับสนุนประสิทธิผลของการฉีดวัคซีนในแบบสูตรไขว้ต่างๆ หรือแบบ ‘มิกซ์แอนด์แมตช์’(mix and match) ซึ่งสามารถช่วยสนับสนุนการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ครอบคลุมมากขึ้นในประชากรทั่วไป”


มร. จอห์น เปเรซ รองประธานอาวุโส หัวหน้าฝ่ายพัฒนาขั้นสุดท้าย ฝ่ายวัคซีนและภูมิคุ้มกันบำบัด แอสตร้าเซนเนก้า กล่าวเสริมว่า “ข้อมูลล่าสุดนี้ช่วยเพิ่มความเข้าใจของเราเกี่ยวกับความสําคัญของวัคซีนเข็มกระตุ้นในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 ในสายพันธุ์ที่แตกต่างออกไป จากประสิทธิผลของวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าในการป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรง และการเสียชีวิต ตอนนี้เราทราบแล้วว่าวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนได้ดีพอสมควร เมื่อได้รับเป็นวัคซีนเข็มกระตุ้นที่สี่ ซึ่งจะให้ประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 สูงกว่าหลังจากรับวัคซีนเข็มกระตุ้นที่สาม”


นอกจากนี้ ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นจากโรงพยาบาลรายงานประสิทธิผลของวัคซีนต่ออาการป่วยรุนแรงจากโควิด-19 (ผู้ป่วยที่มีความจำเป็นในการใช้เครื่องช่วยหายใจ)  และการเสียชีวิตในช่วงการระบาดหนักของสายพันธุ์โอมิครอน ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม 2565 พบว่าการได้รับวัคซีนแบบสูตรไขว้สามเข็ม สามารถป้องกันการติดเชื้อรุนแรงหรือการเสียชีวิตจากโควิด-19 ได้ 98% ในประชากรทุกช่วงอายุที่ศึกษา และมีการเสียชีวิตเพียงรายเดียวในผู้ป่วยที่มีโรคประจําตัวหลังการรับวัคซีนเข็มกระตุ้นที่สี่ ซึ่งเป็นการบ่งชี้ถึงประสิทธิผลในระดับสูงมากของวัคซีน โดยการวิเคราะห์ข้อมูลชุดนี้กําลังอยู่ในขั้นตอนการเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่อง และจะมีการรายงานผลสรุปทั้งหมดในภายหลัง1


 


การศึกษาดังกล่าวรายงานประสิทธิผลจากการใช้จริงของวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า, วัคซีน CoronaVac และวัคซีน mRNA โดยใช้ข้อมูลจากเครือข่ายการเฝ้าระวังจากหน่วยตรวจเชิงรุกในพื้นที่ ซึ่งช่วยให้สามารถเปรียบเทียบข้อมูลผู้ป่วยในพื้นที่ได้ทั้งในช่วงเวลาที่มีอัตราการระบาดสูงของทั้งสายพันธุ์เดลต้าและสายพันธุ์โอมิครอน1


จนถึงวันนี้ แอสตร้าเซนเนก้าได้ส่งมอบวัคซีนป้องกันโควิด-19 แล้วกว่า 3 พันล้านโดส โดยนับตั้งแต่ วันที่ 8 ธันวาคม 2563 ถึง 8 ธันวาคม 2564 วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า ได้ช่วยปกป้องชีวิตผู้คนกว่า 6 ล้านชีวิตจากโควิด-192


 


เกี่ยวกับผลการศึกษา


การศึกษานี้ เป็นการศึกษารูปแบบ Test-negative Case Control Study โดยมีกลุ่มผู้ป่วยและกลุ่มควบคุม จากประชาชนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ ภาคเหนือของประเทศไทย โดยใช้ข้อมูลจากระบบการเฝ้าระวังการจัดหน่วยตรวจหาเชื้อโควิดเชิงรุกในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 ต่อเนื่องมาจนถึงต้นเดือนเมษายน 2565  ข้อมูลจากระบบการลงทะเบียนเพื่อใช้ติดตามผู้ป่วยโควิด-19 ทุกรายในจังหวัดเชียงใหม่ และใช้ข้อมูลประวัติการได้รับวัคซีนจากระบบฐานข้อมูลสรุปผลการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของกระทรวงสาธารณสุข (MOPH IC) เพื่อมาใช้ในการประเมินประสิทธิผลของวัคซีนในการป้องกันการติดเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 (โควิด-19)


การศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลช่วงการแพร่ระบาดรุนแรงของไวรัสสายพันธุ์เดลต้าในประเทศไทย (1 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2564) และช่วงการแพร่ระบาดรุนแรงของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน (1 กุมภาพันธ์ – 10 เมษายน 2565) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิผลของวัคซีนป้องกันโควิด-19 แบบต่างชนิดกันสามเข็มในช่วงระยะเวลาที่สายพันธุ์เดลต้าแพร่ระบาด รวมถึงการฉีดวัคซีนแบบสูตรไขว้ในวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 และเข็มที่ 4 ในช่วงระยะเวลาสายพันธุ์โอมิครอนแพร่ระบาด


จากผลการวิเคราะห์ผู้เข้ารับบริการตรวจหาเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 27,301 คน ในช่วงการแพร่ระบาดของสายพันธุ์เดลต้า (ผู้รับบริการ 2,130 คน มีผลตรวจเป็นบวก และ 25,171 คน มีผลตรวจเป็นลบ) และผู้เข้ารับบริการตรวจหาเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 36,170 คน ในช่วงการแพร่ระบาดของสายพันธุ์โอมิครอน (ผู้รับบริการ 14,682 คน มีผลตรวจเป็นบวก และ 214,881คน มีผลตรวจเป็นลบ)


ผลการประเมินเบื้องต้นจากระบบการคัดแยกผู้ป่วยในโรงพยาบาล แสดงให้เห็นการวิเคราะห์เชิงพรรณาของผลลัพธ์จากการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น เข็มที่ 3 และเข็มที่ 4 ต่อการเจ็บป่วยที่มีอาการรุนแรง และการเสียชีวิตที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19


 


 


วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า (ChAdOx1-S [Recombinant] ชื่อเดิม AZD1222


วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า (ChAdOx1-S [Recombinant])  คิดค้นโดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด วัคซีนดังกล่าวพัฒนาโดยการนำส่วนของสารพันธุกรรมที่ใช้ในการถอดรหัสการสร้างหนามโปรตีนผิวเซลล์ของไวรัสโคโรนา SARS-CoV-2 ใส่ในโครงของอะดีโนไวรัสซึ่งก่อให้เกิดโรคไข้หวัดทั่วไปในลิงชิมแปนซีที่ถูกทำให้อ่อนแรงลงและไม่สามารถแบ่งตัวได้ โดยหลังจากฉีดวัคซีนเซลส์ในร่างกายมนุษย์จะตอบสนองโดยการสร้างโปรตีนที่มีลักษณะเดียวกันกับหนามโปรตีนผิวเซลล์ของไวรัสโคโรนา SARS-CoV-2 ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ในกรณีที่ได้รับเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายในภายหลัง


วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าเป็นวัคซีนชนิด ‘ไวรัลเวคเตอร์’ หรือ ‘ไวรัสพาหะ’ ซึ่งหมายถึงการนำเชื้อไวรัสที่ไม่สามารถก่อให้เกิดโรคได้มาใช้เป็นส่วนหนึ่งของวัคซีน ซึ่งจะทำให้ร่างกายเรียนรู้ว่าจะต่อสู้กับเชื้ออย่างไรหากสัมผัสกับไวรัสจริงในภายหลัง โดยนักวิทยาศาสตร์ได้ใช้เทคโนโลยีการผลิตวัคซีนวิธีนี้ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา เพื่อต่อสู้กับโรคติดเชื้ออื่นๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ ซิกา อีโบลา และเอชไอวี3 เป็นต้น


วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า มีผลข้างเคียงที่ยอมรับได้ดีต่อผู้ที่ได้รับวัคซีน ตามการศึกษาทดลองทางคลินิกและการใช้งานจริงจากผู้คนหลายสิบล้านชีวิตทั่วโลก4-10 ผลอ้างอิงจากประชากรหลายล้านคนที่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้ามีอาการไม่พึงประสงค์ที่พบได้บ่อย ได้แก่ ปวดหัว คลื่นไส้ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ กดเจ็บ ปวด ร้อน คัน หรือฟกช้ำบริเวณที่ฉีด อ่อนเพลีย รู้สึกไม่สบาย มีไข้ และหนาวสั่น11 ซึ่งอาการไม่พึงประสงค์ดังกล่าวนี้มีความรุนแรงเพียงเล็กน้อยถึงปานกลางและหายได้เองในระยะเวลาไม่กี่วันหลังจากได้รับวัคซีน11


วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าได้รับการขึ้นทะเบียนให้ใช้ในภาวะฉุกเฉิน ในกว่า 125 ประเทศ และจากการขึ้นทะเบียนสำหรับการใช้ในภาวะฉุกเฉินโดยองค์การอนามัยโลกในครั้งนี้จะช่วยเร่งให้มีการเข้าถึงวัคซีนใน 144 ประเทศผ่านกลไกการจัดซื้อและจัดสรรวัคซีนของโครงการโคแวกซ์ (COVAX)


ภายใต้ข้อสัญญาการอนุญาตให้ใช้สิทธิช่วง (sub-license agreement) กับแอสตร้าเซนเนก้า วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า ถูกผลิตและส่งมอบโดยสถาบันเซรุ่มแห่งอินเดีย โดยใช้ชื่อวัคซีนว่า COVISHIELD