การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าเป็นวัคซีนเข็มกระตุ้นมีประสิทธิผลในการป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงจากสายพันธุ์โอมิครอนได้ในระดับสูงเทียบเท่าวัคซีน mRNA

จากการวิเคราะห์ข้อมูลโดยผู้เชี่ยวชาญในการศึกษาการใช้วัคซีนจริงกว่า 50กรณีศึกษาพบว่า การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า หรือวัคซีนชนิดmRNA เป็นวัคซีนเข็มกระตุ้นมีประสิทธิผลในการป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและการเสียชีวิตจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนได้ในระดับสูงไม่แตกต่างกัน แม้ว่าจะมีไวรัสสายพันธุ์ย่อยเกิดขึ้นใหม่ก็ตาม
          โดยรายงานฉบับดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าการได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า ครบ 3 เข็มมีประสิทธิผลในการป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงจากสายพันธุ์โอมิครอน(84.8%-89.2%*)เช่นเดียวกับการได้รับวัคซีนชนิดmRNA ครบ 3 เข็ม1
          ผู้เชี่ยวชาญได้ข้อสรุปว่า การฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 4 เป็นการเพิ่มระดับการป้องกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยข้อมูลการศึกษาจากการใช้จริงในทวีปเอเชียระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน 2565 นั้น ไม่พบการเจ็บป่วยรุนแรงในผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนที่ได้รับวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 4ที่เป็นวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า หรือวัคซีน mRNA2

          ศาสตราจารย์เกียรติคุณนพ.สุวัฒน์ จริยาเลิศศักดิ์ คณบดีคณะสาธารณสุขศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และหนึ่งในทีมผู้เชี่ยวชาญที่ร่วมการศึกษาในครั้งนี้ กล่าวว่า “ในขณะที่โอมิครอนกลายเป็นเชื้อไวรัสสายพันธุ์หลักที่ระบาดทั่วโลก การศึกษาประสิทธิผลของวัคซีนที่เราใช้เป็นวัคซีนหลักทั่วโลกจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง รายงานการวิเคราะห์ข้อมูลฉบับนี้ชี้ให้เห็นว่าวิธีการที่ดีที่สุดในการป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงอันเนื่องมาจากสายพันธุ์โอมิครอน คือการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นที่เรามีอยู่แล้ว เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันในวงกว้างอย่างต่อเนื่อง”
          ผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติด้านโรคติดเชื้อจากเอเชียและละตินอเมริกาทั้งหมด 22 คน ที่ได้ร่วมทำการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลในครั้งนี้ มีข้อสรุปว่า ควรกำหนดให้มีการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นปีละ 1 ครั้งในประชากรทั่วไป และทุก 6 เดือนสำหรับผู้ที่มีอาการเจ็บป่วยเรื้อรังต่างๆ1

          ศาสตราจารย์กายทเวทส์ผู้อำนวยการหน่วยวิจัยทางคลินิกของมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดในเวียดนาม หนึ่งในทีมผู้เชี่ยวชาญที่ร่วมการศึกษาในครั้งนี้ กล่าวว่า “การศึกษาเกี่ยวกับวัคซีนเข็มกระตุ้นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการกำหนดนโยบายการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในระยะยาวโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่โรคประจำถิ่นซึ่งทำให้เห็นแนวทางว่าคนทั่วไปควรได้รับวัคซีนกระตุ้นทุกๆ ปี ในขณะที่กลุ่มเปราะบางควรได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นทุก 6 เดือนรายงานการวิเคราะห์ข้อมูลฉบับนี้ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้รัฐบาลประเทศต่างๆ และสาธารณชน ว่าการใช้วัคซีนป้องกันโควิด-19 ทั้งชนิดไวรัลเวคเตอร์ และชนิด mRNA เป็นวัคซีนเข็มกระตุ้นมีประสิทธิผลในการป้องกันอาการเจ็บป่วยรุนแรงจากโอมิครอนได้ดีโดยมีระดับภูมิคุ้มกันลดลงน้อยมาก แม้ว่าจะได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นผ่านไปแล้ว 3 เดือน”
          รายงานฉบับนี้ได้รับการตีพิมพ์ออนไลน์เมื่อวานนี้ซึ่งทำการวิเคราะห์ข้อมูลจากกรณีศึกษาจำนวน 50 เรื่อง บน Viewhubซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแบบอินเตอร์แอคทีฟที่แสดงข้อมูลจากทั่วโลกพร้อมภาพประกอบเกี่ยวกับการใช้วัคซีนและผลที่เกิดขึ้นโดยพัฒนาขึ้นจากความร่วมมือของวิทยาลัยสาธารณสุขจอห์นฮอปกินส์บลูมเบิร์ก (Johns Hopkins Bloomberg School of Public Health) และศูนย์การเข้าถึงวัคซีนนานาชาติ (International Vaccine Access Center)
          ข้อมูลจากการวิเคราะห์ยังแสดงให้เห็นว่าการใช้วัคซีนอื่นๆ เป็นวัคซีนเข็มกระตุ้น สามารถป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงจากโอมิครอนได้ดี แต่มีประสิทธิผลต่ำกว่าวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า และวัคซีนชนิด mRNA เล็กน้อย1
          วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าเป็นวัคซีนชนิด “ไวรัลเวคเตอร์” หรือ 'ไวรัสพาหะ' ซึ่งหมายถึงการนำเชื้อไวรัสที่ไม่สามารถก่อให้เกิดโรคได้มาใช้เป็นส่วนหนึ่งของวัคซีน ซึ่งจะทำให้ร่างกายเรียนรู้ว่าจะต่อสู้กับเชื้ออย่างไรหากสัมผัสกับไวรัสจริงในภายหลัง โดยนักวิทยาศาสตร์ได้ใช้เทคโนโลยีการผลิตวัคซีนวิธีนี้ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา เพื่อต่อสู้กับโรคติดเชื้ออื่นๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ ซิกา อีโบลา และเอชไอวี3เป็นต้น
          แอสตร้าเซนเนก้าและพันธมิตรทั่วโลกได้ส่งมอบวัคซีนมากกว่า 3 พันล้านโดส ให้แก่ประเทศต่างๆ มากกว่า 180 ประเทศทั่วโลก และประมาณ2 ใน 3 ของจำนวนวัคซีนดังกล่าวได้ถูกส่งมอบให้กับกลุ่มประเทศที่มีรายได้ต่ำและกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางค่อนไปทางต่ำ วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าได้ช่วยปกป้องชีวิตผู้คนกว่า 6 ล้านชีวิตจากโรคโควิด-19อ้างอิงข้อมูลจากAirfinity4บริษัทด้านการวิเคราะห์ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์สุขภาพชั้นนำ ตั้งแต่ปีพ.ศ.2563 ในช่วง 12 เดือนแรกที่มีการใช้วัคซีน

วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า
          วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าคิดค้นโดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด วัคซีนดังกล่าวพัฒนาโดยการนำส่วนของสารพันธุกรรมที่ใช้ในการถอดรหัสการสร้างหนามโปรตีนผิวเซลล์ของไวรัสโคโรนา SARS-CoV-2 ใส่ในโครงของอะดีโนไวรัสซึ่งก่อให้เกิดโรคไข้หวัดทั่วไปในลิงชิมแปนซีที่ถูกทำให้อ่อนแรงลงและไม่สามารถแบ่งตัวได้ โดยหลังจากฉีดวัคซีนเซลส์ในร่างกายมนุษย์จะตอบสนองโดยการสร้างโปรตีนที่มีลักษณะเดียวกันกับหนามโปรตีนผิวเซลล์ของไวรัสโคโรนา SARS-CoV-2 ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ในกรณีที่ได้รับเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายในภายหลัง
          วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าได้รับการขึ้นทะเบียนให้ใช้ในภาวะฉุกเฉิน ในกว่า 125 ประเทศ และจากการขึ้นทะเบียนสำหรับการใช้ในภาวะฉุกเฉินโดยองค์การอนามัยโลกในครั้งนี้จะช่วยเร่งให้มีการเข้าถึงวัคซีนใน 144 ประเทศผ่านกลไกการจัดซื้อและจัดสรรวัคซีนของโครงการโคแวกซ์ (COVAX)
          ภายใต้ข้อสัญญาการอนุญาตให้ใช้สิทธิช่วง (sub-license agreement) กับแอสตร้าเซนเนก้า วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า ถูกผลิตและส่งมอบโดยสถาบันเซรุ่มแห่งอินเดีย โดยใช้ชื่อวัคซีนว่า COVISHIELD

เกี่ยวกับแอสตร้าเซนเนก้า
          แอสตร้าเซนเนก้า (ชื่อย่อหลักทรัพย์ AZN ในตลาดหลักทรัพย์ LSE/ STO/ Nasdaq) เป็นบริษัทชีวเภสัชภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก มุ่งเน้นทางด้านการคิดค้น พัฒนา และจำหน่ายยาเพื่อการรักษาโรค โดยเฉพาะในกลุ่มยาโรคมะเร็ง กลุ่มยาโรคหัวใจ ไต และระบบเผาผลาญ และกลุ่มยาโรคทางเดินหายใจ แอสตร้าเซนเนก้า มีฐานอยู่ที่เมืองเคมบริดจ์ สหราชอาณาจักร และดำเนินธุรกิจในกว่า 100 ประเทศ และมีผู้ป่วยหลายล้านคนทั่วโลกที่ได้รับประโยชน์จากนวัตกรรมยาต่างๆ จากแอสตร้าเซนเนก้า สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาไปยังเว็บไซต์ astrazeneca.coและช่องทางทวิตเตอร์ @AstraZeneca
          *ค่าพิสัยดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบ 3 เข็ม (รวมวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า) มีโอกาสที่จะเจ็บป่วยรุนแรงหรือเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 น้อยกว่าประชากรที่ไม่ได้รับวัคซีน ในช่วงกว้าง 84.8% - 89.2%ซึ่งหมายความว่าในจำนวนผู้ป่วย100 คนที่ไม่ได้รับวัคซีน และมีการเจ็บป่วยรุนแรงหรือเสียชีวิต จะพบผู้ป่วยน้อยกว่า 16 คน ที่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม และวัคซีนเข็มกระตุ้น


อ้างอิง
1. Solante R, Alvarez-Moreno C, Burhan E et al. Expert Review of Global Real-World Data on COVID-19 Vaccine Booster Effectiveness & Safety during the Omicron-dominant phase of the pandemic. 6 September 2022, REPRINT (Version 1) available at Research Square.https://www.researchsquare.com/article/rs-2015733/v1. Accessed September 2022.
2. Intawong K, et al. Heterologous third and fourth dose vaccine to reduce severity and mortality in COVID-19 patients during delta and omicron predominance: A cohort study in Chiang Mai, Thailand. Research Square 2022. Preprint published online, not peer reviewed, https://www.researchsquare.com/article/rs-1973470/v1. Accessed August 2022.
3. Sai V Vemula & Suresh K Mittal (2010). Production of adenovirus vectors and their use as a delivery system for influenza vaccines. Expert Opinion on Biological Therapy, 10:10, 1469-1487, DOI: 10.1517/14712598.2010.519332.
4. Data on file.