การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าเป็นวัคซีนเข็มกระตุ้น มีประสิทธิผลในการป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงและการเสียชีวิตจากสายพันธุ์โอมิครอนได้ในระดับสูง

medi.co.th

 


องค์การอนามัยโลกแนะนำวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าเป็นวัคซีนเข็มกระตุ้น ในคู่มือแนวปฏิบัติฉบับปรับปรุงล่าสุด

          การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าเป็นวัคซีนเข็มกระตุ้นที่สามหลังจากได้รับวัคซีนชนิดเดียวกันหรือต่างชนิดกัน มีประสิทธิผลในการป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงและการเสียชีวิตจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนได้ในระดับสูงโดยสามารถลดความเสี่ยงได้ถึง 89% และเมื่อได้รับการฉีดเป็นวัคซีนกระตุ้นเข็มที่สี่ พบว่าระดับการป้องกันเชื้อไวรัสสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยไม่พบการเจ็บป่วยรุนแรงหรือการเสียชีวิตในผู้ที่ได้รับวัคซีนจากผลการศึกษาประสิทธิผลของวัคซีนป้องกันโควิด-19โดยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่และคณะซึ่งได้รับการตีพิมพ์ใน International Journal of Infectious Diseases1จากทุกสูตรวัคซีนที่ทำการศึกษา (ทั้งในผู้ที่เคยได้รับวัคซีนเข็มหลักชนิดเดียวกันหรือวัคซีนต่างชนิดกัน) บ่งชี้ว่า การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า หรือวัคซีนชนิด mRNA เป็นวัคซีนเข็มกระตุ้น มีประสิทธิผลในการป้องกันได้ในระดับสูงไม่แตกต่างกัน1
          จากการพิจารณาข้อมูลล่าสุด รวมถึงผลการศึกษาโดยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และคณะและคำแนะนำจากคณะที่ปรึกษายุทธศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านภูมิคุ้มกัน (Strategic Advisory Group of Experts - SAGE)องค์การอนามัยโลกจึงได้ทำการปรับคู่มือแนวปฏิบัติเกี่ยวกับแนวทางการใช้วัคซีนเข็มกระตุ้น โดยครอบคลุมการใช้วัคซีนป้องกันโควิด-19 ชนิดไวรัลเวคเตอร์ ซึ่งรวมถึงวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าเป็นวัคซีนกระตุ้นเข็มที่สามหรือเข็มที่สี่ในการฉีดวัคซีนสูตรไขว้ทุกรูปแบบ2
          ทางองค์การอนามัยโลกยังได้สรุปว่าข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบันยังไม่เพียงพอต่อการสนับสนุนการใช้วัคซีนชนิด 2 สายพันธุ์ (Bivalent Vaccine)เป็นวัคซีนเข็มกระตุ้นแทนวัคซีนชนิดไวรัลเวคเตอร์และชนิดmRNA3
          ผลการศึกษาจากข้อมูลชุดเดียวกัน ที่ได้รับการตีพิมพ์แบบฉบับ preprint ใน Research Squareไปก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่า การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าเป็นวัคซีนเข็มกระตุ้นที่สามมีประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 จากสายพันธุ์โอมิครอนได้ในระดับสูงเทียบเท่าวัคซีนชนิดmRNA4
          ศาสตราจารย์เกียรติคุณนพ.สุวัฒน์ จริยาเลิศศักดิ์ คณบดีคณะสาธารณสุขศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และหนึ่งในทีมผู้เชี่ยวชาญที่ทำการศึกษาร่วมกับคณะทำงานจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่กล่าวว่า “การศึกษานี้ได้แสดงให้เห็นถึงข้อมูลที่สำคัญว่า วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าและวัคซีนชนิดmRNA มีประสิทธิผลในการป้องกันอาการเจ็บป่วยรุนแรงหรือการเสียชีวิตอันเนื่องมาจากสายพันธุ์โอมิครอนได้ดีเมื่อใช้เป็นวัคซีนกระตุ้นเข็มที่สามหรือเข็มที่สี่ ซึ่งผลการวิจัยดังกล่าวได้สนับสนุนการฉีดวัคซีนในแบบสูตรไขว้ต่างๆ หรือแบบ ‘มิกซ์แอนด์แมตช์’ซึ่งสามารถช่วยกระตุ้นให้อัตราการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ครอบคลุมประชากรได้มากขึ้น"
          นายจอห์น เปเรซ รองประธานอาวุโส หัวหน้าฝ่ายพัฒนาขั้นสุดท้าย ฝ่ายวัคซีนและภูมิคุ้มกันบำบัด แอสตร้าเซนเนก้า กล่าวเสริมว่า“ข้อมูลล่าสุดนี้ ช่วยสนับสนุนและเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับประสิทธิผลของการใช้วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าเป็นวัคซีนเข็มกระตุ้น ซึ่งสามารถช่วยป้องกันอาการเจ็บป่วยรุนแรงจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนได้ ตั้งแต่อาการเล็กน้อยไปจนถึงการเกิดโรครุนแรง รวมถึงลดอัตราการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและการเสียชีวิตโดยวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า จะยังคงมีบทบาทสำคัญในการป้องกันเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 สายพันธุ์ต่างๆ ที่แพร่ระบาดในปัจจุบัน ทั้งในฐานะวัคซีนเข็มหลักและวัคซีนเข็มกระตุ้น”
          ปัจจุบัน แอสตร้าเซนเนก้าและพันธมิตรทั่วโลกได้ส่งมอบวัคซีนแล้วกว่า 3 พันล้านโดส ให้แก่ประเทศต่างๆ มากกว่า 180 ประเทศทั่วโลก โดย2 ใน 3 ของจำนวนวัคซีนดังกล่าวได้ถูกส่งมอบให้กับกลุ่มประเทศที่มีรายได้ต่ำและกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางค่อนไปทางต่ำ วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าได้ช่วยปกป้องชีวิตผู้คนกว่า 6 ล้านชีวิตอ้างอิงจากในช่วง 12 เดือนแรกที่มีการใช้วัคซีน5


เกี่ยวกับผลการศึกษา
          คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ทำการศึกษาประสิทธิผลของวัคซีนป้องกันโควิด-19 ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ โดยการใช้ข้อมูลชุดเดียวกันในการศึกษาสองหัวข้อการวิจัย ได้แก่ ประสิทธิผลของวัคซีนกระตุ้นเข็มที่สามและที่สี่ ในการป้องกันอาการเจ็บป่วยรุนแรงและการเสียชีวิตจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน (International Journal of Infectious Diseases1) และประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน (Research Square2)
          ประสิทธิผลของวัคซีนเข็มกระตุ้นแบบต่างชนิดกัน ในการป้องกันอาการเจ็บป่วยรุนแรงและการเสียชีวิตจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน1
          • การศึกษาในรูปแบบ retrospective cohort study ในกลุ่มประชากรอายุ 18 ปีขึ้นไปที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย และมีผลตรวจหาเชื้อ SARS-CoV-2 เป็นบวก ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2564 (ช่วงการแพร่ระบาดของสายพันธุ์เดลตา) และ 1 กุมภาพันธ์ – 30 เมษายน2565 (ช่วงการแพร่ระบาดของสายพันธุ์โอมิครอน)
          • การเจ็บป่วยรุนแรงจากโควิด-19 หมายถึง ผู้ป่วยที่มีความจำเป็นในการใช้เครื่องช่วยหายใจ (IMV)ระหว่างการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล หรือ เสียชีวิตระหว่างการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล
          • ช่วงการระบาดหนักของสายพันธุ์โอมิครอนพบว่าวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าสามารถป้องกันอาการเจ็บป่วยรุนแรงและการเสียชีวิตจากโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนได้ 89% เมื่อใช้เป็นวัคซีนกระตุ้นเข็มที่สาม (HR 0.11, 95% CI 0.08-0.18) เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับวัคซีน


ประสิทธิผลของการฉีดวัคซีนแบบต่างชนิดกัน ในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน4
          • การศึกษาในรูปแบบ Test-negative Case-control Study เพื่อประเมินประสิทธิผลของวัคซีนป้องกันโควิด-19 แบบต่างชนิดกัน หรือวัคซีนสูตรไขว้ ในการป้องกันการติดเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 (โควิด-19)
          • การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิผลของวัคซีนป้องกันโควิด-19 แบบต่างชนิดกันสามเข็ม (วัคซีนสองเข็มหลัก และวัคซีนกระตุ้นเข็มที่สาม) ในช่วงการระบาดของสายพันธุ์เดลตา (1 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2564) และประสิทธิผลของการฉีดวัคซีนสูตรไขว้ในวัคซีนกระตุ้นเข็มที่สามและเข็มที่สี่ในช่วงการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอน (1 กุมภาพันธ์ – 10 เมษายน 2565)โดยการวิจัยในช่วงเวลาที่สายพันธุ์เดลตาแพร่ระบาดมีผู้เข้ารับบริการตรวจหาเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 จำนวน27,301 คน (2,130 คนมีผลตรวจเป็นบวก และ 25,171 คนมีผลตรวจเป็นลบ)และในช่วงเวลาที่สายพันธุ์โอมิครอนแพร่ระบาด มีผู้เข้ารับบริการตรวจหาเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 จำนวน36,170 คน (14,682 คนมีผลตรวจเป็นบวก และ 21,488 คนมีผลตรวจเป็นลบ)
           • ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า การฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่สี่ทุกชนิด ซึ่งรวมถึง วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า สามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 จากสายพันธุ์โอมิครอนสูงถึง75% (95% CI 71-80%) โดยประสิทธิผลของวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า อยู่ที่ 73% (95% CI 48-89%) ซึ่งอยู่ในระดับใกล้เคียงกับวัคซีนชนิด mRNA ที่มีค่าประสิทธิผลอยู่ที่ 71% (Mod 95% CI 59-79%; PFZ 95% CI 60-79%)โดยประสิทธิผลของวัคซีนดังกล่าวถูกปรับเพื่อขจัดอิทธิพลจากตัวแปรต่างๆ ได้แก่ อายุ เพศ เวลาการรับวัคซีนตามปฏิทิน และประเภทของสูตรวัคซีนที่ได้รับก่อนหน้า


วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า
          วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าคิดค้นโดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด วัคซีนดังกล่าวพัฒนาโดยการนำส่วนของสารพันธุกรรมที่ใช้ในการถอดรหัสการสร้างหนามโปรตีนผิวเซลล์ของไวรัสโคโรนา SARS-CoV-2 ใส่ในโครงของอะดีโนไวรัสซึ่งก่อให้เกิดโรคไข้หวัดทั่วไปในลิงชิมแปนซีที่ถูกทำให้อ่อนแรงลงและไม่สามารถแบ่งตัวได้ โดยหลังจากฉีดวัคซีนเซลส์ในร่างกายมนุษย์จะตอบสนองโดยการสร้างโปรตีนที่มีลักษณะเดียวกันกับหนามโปรตีนผิวเซลล์ของไวรัสโคโรนา SARS-CoV-2 ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ในกรณีที่ได้รับเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายในภายหลัง
          วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าเป็นวัคซีนชนิด ‘ไวรัลเวคเตอร์’ หรือ ‘ไวรัสพาหะ’ ซึ่งหมายถึงการนำเชื้อไวรัสที่ไม่สามารถก่อให้เกิดโรคได้มาใช้เป็นส่วนหนึ่งของวัคซีน ซึ่งจะทำให้ร่างกายเรียนรู้ว่าจะต่อสู้กับเชื้ออย่างไรหากสัมผัสกับไวรัสจริงในภายหลัง โดยนักวิทยาศาสตร์ได้ใช้เทคโนโลยีการผลิตวัคซีนวิธีนี้ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา เพื่อต่อสู้กับโรคติดเชื้ออื่นๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ ซิกา อีโบลา และเอชไอวี7เป็นต้น
          วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า มีผลข้างเคียงที่ยอมรับได้ดีต่อผู้ที่ได้รับวัคซีน ตามการศึกษาทดลองทางคลินิกและการใช้งานจริงจากผู้คนหลายสิบล้านชีวิตทั่วโลก8-13ผลอ้างอิงจากประชากรหลายล้านคนที่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้ามีอาการไม่พึงประสงค์ที่พบได้บ่อย ได้แก่ ปวดหัว คลื่นไส้ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ กดเจ็บ ปวด ร้อน คัน หรือฟกช้ำบริเวณที่ฉีด อ่อนเพลีย รู้สึกไม่สบาย มีไข้ และหนาวสั่น15ซึ่งอาการไม่พึงประสงค์ดังกล่าวนี้มีความรุนแรงเพียงเล็กน้อยถึงปานกลางและหายได้เองในระยะเวลาไม่กี่วันหลังจากได้รับวัคซีน15วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า ได้รับการอนุมัติให้ใช้เป็นทั้ง  วัคซีนเข็มหลักและวัคซีนเข็มกระตุ้นเข็มที่ 3สำหรับการฉีดวัคซีนทั้งในแบบชนิดเดียวกัน (homologous) และแบบต่างชนิดกัน (heterologous)
          วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าได้รับการขึ้นทะเบียนตำรับยาใน 34ประเทศทั่วโลก และได้รับการอนุมัติแบบมีเงื่อนไขหรือใช้ในกรณีฉุกเฉินในกว่า 20 ประเทศนอกจากนี้ ยังได้รับการขึ้นทะเบียนสำหรับการใช้ในภาวะฉุกเฉินโดยองค์การอนามัยโลกซึ่งช่วยเร่งให้เกิดการเข้าถึงวัคซีนใน 144 ประเทศผ่านกลไกการจัดซื้อและจัดสรรวัคซีนของโครงการโคแวกซ์ (COVAX)
          ภายใต้ข้อสัญญาการอนุญาตให้ใช้สิทธิช่วง (sub-license agreement) กับแอสตร้าเซนเนก้า วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า ถูกผลิตและส่งมอบโดยสถาบันเซรุ่มแห่งอินเดีย โดยใช้ชื่อวัคซีนว่า COVISHIELD


เกี่ยวกับ แอสตร้าเซนเนก้า
          แอสตร้าเซนเนก้า (ชื่อย่อหลักทรัพย์ AZN ในตลาดหลักทรัพย์ LSE/ STO/ Nasdaq) เป็นบริษัทชีวเภสัชภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก มุ่งเน้นทางด้านการคิดค้น พัฒนา และจำหน่ายยาเพื่อการรักษาโรค โดยเฉพาะในกลุ่มยาโรคมะเร็ง กลุ่มยาโรคหัวใจ ไต และระบบเผาผลาญ และกลุ่มยาโรคทางเดินหายใจ แอสตร้าเซนเนก้า มีฐานอยู่ที่เมืองเคมบริดจ์ สหราชอาณาจักร และดำเนินธุรกิจในกว่า 100 ประเทศ และมีผู้ป่วยหลายล้านคนทั่วโลกที่ได้รับประโยชน์จากนวัตกรรมยาต่างๆ จากแอสตร้าเซนเนก้า สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาไปยังเว็บไซต์ astrazeneca.com และช่องทางทวิตเตอร์ @AstraZeneca


อ้างอิง
1.Intawong K, et al. Heterologous third and fourth dose vaccines reduce severity and mortality in COVID-19 patients during the periods of delta and omicron predominance in Thailand. International Journal of Infectious Diseases. DOI: https://doi.org/10.1016/j.ijid.2022.11.006 Available at: https://www.ijidonline.com/article/S1201-9712(22)00593-8/fulltext?dgcid=raven_jbs_aip_email Accessed: November 2022
2.WHO Good Practice Statement on the use of second booster doses for COVID-19 vaccines. Available athttps://www.who.int/publications/i/item/WHO-2019-nCoV-vaccines-SAGE-good-practice-statement-second-booster. Accessed: October 2022
3.WHO Good practice statement on the use of variant-containing COVID-19 vaccines. Available at https://www.who.int/publications/i/item/WHO-2019-nCoV-Vaccines-SAGE-Variants-2022.1 Accessed: October 2022
4.Intawong, K et al. Effectiveness of heterologous third and fourth dose COVID-19 vaccine schedules for SARS-CoV-2 infection during delta and omicron predominance in Thailand: A test-negative, case-control study. The Lancet Regional Health - Southeast Asia, 2022, https://doi.org/10.1016/j.lansea.2022.100121
5.Data estimates based on model outcomes from separate analyses conducted by Airfinity and Imperial College, United Kingdom. AstraZeneca Data on File.REF-156573, 11 July 2022
6.Centers For Disease Control and Prevention. Understanding Viral Vector COVID-19 Vaccines. Available at: https://www.cdc.gov/coronavirus/2019-ncov/vaccines/different-vaccines/viralvector.html?CDC_AA_refVal=https%3A%2F%2Fwww.cdc.gov%2Fvaccines%2Fcovid-19%2Fhcp%2Fviral-vector-vaccine-basics.html.Accessed: October 2022
7.Burn, E et al, Thrombosis and thrombocytopenia after vaccination against and infection with SARS-CoV-2: a population-based cohort analysis. Available at: https://www.medrxiv.org/content/10.1101/2021.07.29.21261348v1.full.Accessed: October 2022
8.Burn, E et al, Thromboembolic Events and Thrombosis With Thrombocytopenia After COVID-19 Infection and Vaccination in Catalonia, Spain. Available at SSRN: https://papers.ssrn.com/sol3/papers.cfm?abstract_id=3886421. Accessed: October 2022
9.P. Bhuyan et al. Very rare thrombosis with thrombocytopenia after second AZD1222 dose: a global safety database analysis. Lancet. Available at: https://www.thelancet.com/pdfs/journals/lancet/PIIS0140-6736(21)01693-7.pdf.Accessed: October 2022
10.Laporte JR et al. Vaccines against Covid-19, venous thromboembolism, and thrombocytopenia. A population-based retrospective cohort study. Available at https://www.medrxiv.org/content/10.1101/2021.07.23.21261036v1.Accessed: October 2022
11.Voysey M, et al. Single-dose administration and the influence of the timing of the booster dose on immunogenicity and efficacy of ChAdOx1 nCoV-19 (AZD1222) vaccine: a pooled analysis of four randomised trials. The Lancet 2021; 397: 881-91. Accessed: July 2022.
12.Falsey A, et al. Phase 3 safety and efficacy of AZD1222 (ChAdOx1nCoV-19 Vaccine. NEJM. Available at: https://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMoa2105290?query=featured_coronavirus..Accessed: October 2022
13.Flaxman A, et al. Reactogenicity and immunogenicity after a late second dose or a third dose of ChAdOx1 nCoV-19 (AZ2021D1222) in the UK: a substudy of two randomized controlled trials (COV001 and COV002). The Lancet 2021; 398: 981-90. Accessed: July 2022.
14.WHO Summary of Product Characteristics. COVID-19 Vaccine AstraZeneca. December, 2021; https://www.covax.azcovid-19.com/content/dam/azcovid/pdf/covax/who-clean-smpc-azd1222-en.pdf. Accessed: October 2022