ตลอดระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษที่คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีก่อตั้งขึ้นในฐานะโรงเรียนแพทย์ ควบคู่ไปกับการเปิดให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชนจากทั่วประเทศ โดยเฉพาะผู้ป่วยนอกที่เข้าใช้บริการซึ่งมีจำนวนกว่า 2.4 ล้านครั้งต่อปี ด้วยโครงสร้างอาคารหลักที่มีอายุ 58 ปี นี้มีข้อจำกัดไม่เอื้อต่อการปรับปรุงหรือพัฒนางานระบบต่าง ๆ ที่รองรับเทคโนโลยีการแพทย์ที่ทันสมัย อีกทั้งยังมีพื้นที่จำกัดในการขยับขยายพื้นที่เพื่อให้บริการแก่ผู้ป่วยในสถานการณ์ที่ ไม่แน่นอนเช่นในปัจจุบัน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีและมูลนิธิรามาธิบดี ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ร่วมสานต่อภารกิจแห่งการให้ผ่านโครงการก่อสร้างอาคาร โรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี เพื่อเพิ่มพื้นที่รองรับการรักษาผู้ป่วย พร้อมยกระดับวงการแพทย์และสาธารณสุขไทยให้ก้าวไกลสู่ระดับสากล
ศ.นพ.ปิยะมิตร ศรีธรา คณบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า“เป็นระยะเวลา 58 ปี อาคารหลักของโรงพยาบาลรามาธิบดีแห่งนี้เปิดให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชนทั่วประเทศ จนถึงปัจจุบัน ในขณะที่องค์ความรู้และนวัตกรรมทางการแพทย์พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อก้าวข้ามข้อจำกัดและเพิ่มศักยภาพในการรักษาผู้ป่วย รวมถึงการเตรียมความพร้อมรองรับโรคที่อุบัติใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต จึงเป็นเหตุผลให้เพิ่มพื้นที่โรงพยาบาล ให้มีความพร้อมด้านการรองรับเทคโนโลยีการแพทย์ที่ทันสมัย เพื่อรองรับผู้ป่วยให้เพียงพอต่อความต้องการ โครงการก่อสร้างโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี มิเพียงแต่เป็นสถานที่ให้การบริการทางการแพทย์เท่านั้น เนื่องจากโรงพยาบาลรามาธิบดีเป็นห้องเรียนและแหล่งค้นคว้าวิจัยที่ผลิตบุคลากรทางการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยเฉพาะแพทย์ในระดับหลังปริญญา (Post-graduation) เพื่อสร้างแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการรักษาโรคที่มีความซับซ้อน และเป็นย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี (YMID) ศูนย์รวมนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยจากการผนึกกำลังกับเครือข่ายการแพทย์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ ซึ่งประกอบด้วย ศูนย์พัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ (MIND CENTER) พื้นที่ Co- Working Space และ Clinical Research Center เป็นต้น เพื่อ ร่วมพัฒนาต่อยอดในด้านสาธารณสุขของประเทศให้มีศักยภาพในระดับสากล สามารถแข่งขันได้ และเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community)”
อาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีแห่งใหม่นี้ จะมีความสูง 25 ชั้นและมีชั้นใต้ดิน 2 ชั้น ตั้งอยู่บนพื้นที่ส่วนหนึ่งของด้านหน้าองค์การเภสัชกรรม มีขนาด 15 ไร่ 2 งาน 24 ตารางวา และมีพื้นที่ใช้สอยกว่า 278,000 ตารางเมตร ซึ่งมากกว่าพื้นที่ใช้สอยของอาคารสมเด็จพระเทพรัตน์เกือบ 3 เท่า อาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีแห่งใหม่นี้สามารถรองรับผู้ป่วยที่ใช้สิทธิขั้นพื้นฐานได้อย่างเต็มศักยภาพเทียบเท่าอาคารเดิม แต่เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการรักษา โดยเฉพาะโรคที่มีความซับซ้อนซึ่งถือเป็นความเชี่ยวชาญของบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลรามาธิบดี เพื่อเป็นต้นแบบทางการรักษาให้กับโรงพยาบาลอื่น ๆ ต่อไป
ศ.ดร.พญ.อติพร อิงค์สาธิต รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า “ในด้านศักยภาพของการบริการรักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นนั้นผ่านการออกแบบโดยคำนึงถึงแนวคิด “เข้าใจเขา เข้าใจเรา เข้าใจทุก(ข์)คน” เพื่อให้บริการทางการแพทย์ที่ดีที่สุด อาทิ หน่วยตรวจผู้ป่วยนอก (OPD) จำนวน 4 ชั้น ห้องตรวจจำนวน 325 ห้อง ที่คำนึงถึง การส่งเสริมประสบการณ์ที่ดีของผู้ป่วยให้มีความสะดวกสบายใน การเข้ารับบริการ พร้อมศูนย์ “Imagine Center” ที่บริการตรวจด้วยเครื่อง X-ray, เครื่อง Ultrasound เครื่อง CT Scan และเครื่อง MRI ให้บริการแบบ 24 ชั่วโมง เพื่อลดระยะเวลารอคอยการตรวจผู้ป่วย ในจำนวน 826 เตียง ถูกออกแบบเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัว ลดความแออัด และควบคุมหรือลดการแพร่เชื้อได้ดียิ่งขึ้น ห้อง ICU จำนวน 240 เตียง จากเดิม 100 เตียง ซึ่งออกแบบตามแนวคิด “Healing Environment” ให้ผู้ป่วยมองเห็นสภาพแวดล้อมภายนอก ช่วยเสริมสร้างกำลังใจและกระตุ้นให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการเจ็บป่วยในสถานการณ์สังคมผู้สูงอายุ ห้องผ่าตัด (OR) 52 ห้อง รองรับการผ่าตัดโรคซับซ้อนพร้อมนวัตกรรมหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด และห้องสวนหลอดเลือดหัวใจ (Cath Lab) รองรับผู้ป่วยวิกฤตที่ป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับระบบหัวใจและหลอดเลือดโดยเฉพาะ เป็นต้น สามารถให้บริการ ผู้ป่วยนอกได้ถึง 2.5 ล้านครั้งต่อปี และให้บริการผู้ป่วยในได้ถึง 55,000 คนต่อปี”
โครงการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธีให้ความสำคัญกับการเพิ่มศักยภาพและยกระดับคุณภาพการให้บริการทางการแพทย์ให้มีมาตรฐานพร้อมรองรับสภาวการณ์การเปลี่ยนแปลงและ ความไม่แน่นอนของโรค ทั้งในปัจจุบันและอนาคต อยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จและ
เปิดให้บริการภายในปี พ.ศ 2571 แม้จะได้รับเงินสนับสนุนจากภาครัฐแต่ยังคงขาดงบประมาณด้านการก่อสร้างอาคารประมาณ 3,000 ล้านบาท และการจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์ทันสมัยที่มีมูลค่าสูงประมาณ 6,000 ล้านบาท