รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ผนึกกำลังภาคเอกชนชั้นนำของประเทศสร้าง Team Thailand ช่วยสนับสนุนการทำงานของภาครัฐในการขอเสียงสนับสนุนจากประเทศสมาชิก รวมถึงร่วมประชาสัมพันธ์ความพร้อมของประเทศไทยในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงาน Expo 2028 Phuket Thailand ก่อนที่จะมีการพิจารณาในเดือนมิถุนายนปีนี้
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมความร่วมมือ กับภาคเอกชนในการสนับสนุนการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพการจัดงาน Expo 2028 Phuket Thailand โดยมี ดร.อรรชกา ศรีบุญเรือง ประธานกรรมการส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) และผู้บริหารภาคเอกชนร่วมประชุมและแลกเปลี่ยนแนวความคิด
นายอนุทินกล่าวว่า จากการที่ประเทศไทยเป็น 1 ใน 5 ประเทศที่เสนอตัวเป็นเจ้าภาพการจัดงาน Specialised Expo (สหรัฐอเมริกา อาร์เจนตินา เซอร์เบีย สเปน และประเทศไทย) ภายใต้ชื่องาน Expo 2028 Phuket Thailand ขณะนี้เป็นช่วงสุดท้ายก่อนจะพิจารณาในเดือนมิถุนายน 2566 โดยในสัปดาห์นี้จะมีการเข้าร่วมกิจกรรม Symposia เพื่อนำเสนอความคืบหน้าและความพร้อมต่างๆ ในการเป็นเจ้าภาพจัดงาน Specialised Expo แก่คณะกรรมการจากองค์การนิทรรศการนานาชาติ BIE ที่ประเทศฝรั่งเศส สำหรับกระทรวงสาธารณสุขจะนำโดยอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สิ่งสำคัญที่สุดขณะนี้คือความร่วมมือของภาคส่วนต่างๆ ในประเทศ ที่จะร่วมแสดงออกถึงความพร้อมและความเชื่อมั่นให้กับคณะกรรมการ จึงได้เชิญผู้ประกอบการภาคเอกชนที่มีเครือข่ายทางธุรกิจในระดับโลกมาร่วมประชุม สร้าง Team Thailand ช่วยสนับสนุนการทำงานของภาครัฐในการขอเสียงสนับสนุนจากประเทศสมาชิกต่างๆ 171 ประเทศ รวมถึงเครือข่ายธุรกิจในประเทศร่วมประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดงาน Expo 2028 Phuket Thailand
นายอนุทินกล่าวต่อว่า หากประเทศไทยได้รับคัดเลือกให้จัดงาน Specialised Expo จะช่วยให้ไทยมีเงินหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในประเทศจากทั้งคนไทยและต่างชาติประมาณ 5 ล้านคน เกิดเงินสะพัดประมาณ 50,000 ล้านบาท และมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ประมาณ 40,000 ล้านบาท เกิดการพัฒนาเมืองของจังหวัดในกลุ่มอันดามัน ได้แก่ กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนอง และสุราษฎร์ธานี จากการกระจายรายได้, ส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยในการเป็น “ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) ของภูมิภาค และจะก้าวสู่การเป็น “ศูนย์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก” รวมถึงมีการบริหารและพัฒนาพื้นที่หลังการจัดงาน โดยสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดจะพัฒนาเป็นศูนย์บริการทางการแพทย์และสาธารณสุขระดับนานาชาติครบวงจร ศูนย์ อภิบาลผู้สูงอายุนานาชาติ ศูนย์ใจรักษ์ และศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูครบวงจร ซึ่งก่อให้เกิดการพัฒนาทั้งด้านการแพทย์ สุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดี ภายใต้การดูแลของโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต และพัฒนาพื้นที่ให้เป็นศูนย์ประชุมนานาชาติ และ Ecological Park ต่อไป