นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เป็นประธาน การประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาเครือข่ายยุติการตีตราและเลือกปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับเอชไอวี/เอดส์ เนื่องในวันยุติการเลือกปฏิบัติสากล พร้อมด้วยว่าที่ร้อยตรีสมศักดิ์ พรหมดำ รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน และผู้แทนจากภาคเอกชน ภาคประชาสังคม โดยภายในงานเน้นประเด็น “หยุดบังคับตรวจเอชไอวี หยุดใช้เอชไอวีเป็นเงื่อนไขในการทำงาน หยุดการตีตราและเลือกปฏิบัติ” สอดคล้องกับแนวคิด “Save lives : Decriminalise” ช่วยชีวิตและยุติปัญหาเอดส์: ยุติการเลือกปฏิบัติ
นายแพทย์ธเรศ กล่าวว่า ประเทศไทยแสดงเจตนารมณ์อย่างมุ่งมั่นที่จะยุติปัญหาเอดส์ ภายในปี 2573
ซึ่งมีเป้าหมายหลัก 3 ประการ คือ ลดจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ ปีละไม่เกิน 1,000 ราย ลดการเสียชีวิตในผู้ติดเชื้อเอชไอวีปีละไม่เกิน 4,000 ราย ลดการรังเกียจและการเลือกปฏิบัติที่เกี่ยวเนื่องจากเอชไอวีและเพศภาวะให้เหลือไม่เกิน ร้อยละ 10 แม้ว่าประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีศักยภาพในการแก้ไขปัญหาเอดส์ และประสบความสำเร็จทั้งการป้องกัน ลดการเจ็บป่วยเสียชีวิตจากเอชไอวี แต่หนึ่งในความท้าทายของการดำเนินงานในปัจจุบัน คือ การลดการตีตราและการเลือกปฏิบัติที่เกี่ยวเนื่องกับเอชไอวีและเพศภาวะที่ยังมีอยู่ในสังคม นับเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้คนที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เข้าไม่ถึงการตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวี หรือเมื่อตรวจพบเชื้อแล้วไม่กล้าเข้าสู่กระบวนการรักษา เพราะกลัวคนจะรู้ หากสามารถยุติการตีตราและการเลือกปฏิบัติในเรื่องเอชไอวีและเพศภาวะ โดยคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน และเคารพในสิทธิมนุษยชน จะนำไปสู่การยุติปัญหาเอดส์ของประเทศได้
ประเทศไทยได้ร่วมดำเนินการตามแนวคิด “สานพลังยุติการเลือกปฏิบัติ” และร่วมกันสร้างสังคมที่ไม่มีการตีตราและเลือกปฏิบัติ โดยหน่วยงานภาคีเครือข่ายได้ร่วมกันจัดทำแผนปฏิบัติการ เพื่อลดการตีตราและการเลือกปฏิบัติอันเนื่องมาจากเอชไอวีและเพศสภาพทุกรูปแบบ พ.ศ. 2565-2569 ด้วยการสานพลังจากการมีส่วนร่วมของ 6 ภาคส่วน ได้แก่ ภาคส่วนชุมชน ภาคส่วนการทำงาน ภาคส่วนด้านการดูแลสุขภาพ ภาคส่วนการศึกษา ภาคส่วนยุติธรรมและกฎหมาย และภาคส่วนการช่วยเหลือในภาวะฉุกเฉินและเพื่อมนุษยธรรม รวมถึงส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมทางเพศภาวะ มีการขับเคลื่อนมาตรการสำคัญที่มุ่งเน้นการสร้างความเข้าใจเรื่องการตีตราและการเลือกปฏิบัติในทุกระดับ อีกทั้งผลักดันให้มีพระราชบัญญัติขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลในสังคม เพราะการลดการตีตราและเลือกปฏิบัตินี้จะช่วยนำผู้ติดเชื้อเอชไอวี เข้าสู่ระบบบริการสุขภาพ และเกิดการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่องตามมาตรฐาน จะทำให้ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้ สามารถประกอบอาชีพ เลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้ และนำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดี
นายแพทย์ธเรศ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค มีทิศทางการดำเนินงานสำคัญเพื่อสนับสนุนการ “หยุดการตีตราและเลือกปฏิบัติ” โดยได้มีมาตรการ ดังนี้ 1) สร้างความเข้าใจเรื่องการตีตรา เพื่อไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติในทุกระดับ โดยในส่วนของสถานบริการสุขภาพต้องเอื้อต่อการมารับบริการ รวมทั้งผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ที่ได้รับผลกระทบไม่ตีตราตนเอง ซึ่งได้จัดทำหลักสูตรการอบรมให้กับผู้ให้บริการในสถานบริการสุขภาพ ร่วมกับการบูรณาการประเด็นลดการตีตราและเลือกปฏิบัติเข้ากับการพัฒนาคุณภาพบริการ รวมทั้งมีโปรแกรมลดการตีตราตนเองในสถานบริการสุขภาพ ซึ่งมีโรงพยาบาลที่เข้าร่วมดำเนินงาน จำนวน 179 แห่ง และวางแผนขยายภายในปี 2569 ให้ได้ร้อยละ 80 ของสถานบริการในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขและกรุงเทพมหานคร 2) พัฒนาระบบข้อมูลและกลไกการรับเรื่องร้องเรียนและคุ้มครองการละเมิดสิทธิด้านเอดส์ (Crisis Response System: CRS) เพื่อให้เกิดระบบการจัดการปัญหา การถูกละเมิดสิทธิด้านเอดส์ และการให้ความช่วยเหลือ ที่สะดวก เข้าถึงง่าย มีประสิทธิภาพ สามารถช่วยเหลือได้จริง