เปิดเวทีทบทวนนโยบาย “เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติมีสิทธิทุกที่ ไม่ต้องสำรองจ่าย” (UCEP) รุกปิดช่องว่าง เพิ่มศักยภาพบริการ เผย 6 ปี ใช้สิทธิกว่า 5.8 แสนครั้ง ร้องเรียน 7,522 เรื่อง ส่วนใหญ่ถูก รพ.เรียกเก็บค่ารักษา นักวิชาการชี้ความสำเร็จ UCEP ช่วยผู้ป่วยเข้ารักษาใน รพ.เอกชนเพิ่ม ผลจากกำหนดหลักเกณฑ์จำกัดเฉพาะผู้ป่วยสีแดง เพิ่มอัตราชดเชยค่าบริการ ห่วงการประเมินอาการคลาดเคลื่อนและข้อจำกัด 72 ชม. ส่งผลกระทบความปลอดภัยผู้ป่วยได้ ขณะที่ญาติผู้ป่วยเปิดประสบการณ์ถูก รพ.เอกชน เรียกเก็บ 9.5 หมื่นบาท หลังพ่อใช้สิทธิ UCEP รักษาเส้นเลือดในสมองแตก
เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2566 มีการแถลงข่าว “เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติมีสิทธิทุกที่ ไม่ต้องสำรองจ่าย” เพื่อเปิดเผยข้อมูลความคืบหน้าการดำเนินการตามนโยบายนี้ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมสะท้อนปัญหาและอุปสรรคที่นำไปสู่การพัฒนา ดูแลประชาชนให้เข้าถึงการรักษาในภาวะฉุกเฉินวิกฤติ
นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติมีสิทธิทุกที่ หรือ UCEP ได้ประกาศใช้ในปี 2560 ต้องยอมรับว่าเป็นนโยบายรัฐที่จับต้องได้ เป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างมาก ทำให้ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติเข้ารับรักษาในโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุดได้ทันท่วงที จนพ้นวิกฤติและเคลื่อนย้ายได้ แต่ไม่เกิน 72 ชม. ไม่มีค่าใช้จ่ายเป็นอุปสรรค ลดความเหลื่อมล้ำให้กับประชาชน แต่ก็มีจุดที่ต้องแก้ปัญหา เพราะยังมีกรณีการประเมินอาการผู้ป่วยที่ไม่เข้าเกณฑ์ ถูกเรียกเก็บเงินก่อนการรักษา และไม่สามารถใช้สิทธิ UCEP ได้ รวมถึงกรณีถูกเรียกเก็บเงินในช่วงรักษา 72 ชม.
ข้อมูล “สภาองค์กรของผู้บริโภค” ตั้งแต่ ก.ค. 64 – 30 มี.ค. 66 การร้องเรียนด้านบริการสุขภาพ พบว่า ปัญหาสิทธิ UCEP มีจำนวนสูงเป็นอันดับ 3 หรือ 232 เรื่องจาก 1,979 เรื่อง หรือร้อยละ 11.72 แยกเป็นกรณี 1.ได้รับความเสียจากการรักษาพยาบาล 56 เรื่อง 2.ถูกเรียกเก็บเงินจากการใช้สิทธิฉุกเฉิน 53 เรื่อง 3.ไม่ได้รับบริการ 42 เรื่อง 4.ไม่ได้รับความสะดวกตามสมควร 39 เรื่อง 5.ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานบริการสาธารณสุข 35 เรื่อง 6.ค่ารักษาพยาบาลแพงเกินจริง 4 เรื่อง และ 7.ไม่สามารถส่งต่อ 3 เรื่อง ซึ่งได้มีการประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมแก้ไขปัญหา พร้อมจัดทำข้อเสนอแก้ไขไปยัง สพฉ. กระทรวงสาธารณสุข ให้กำกับโรงพยาบาลปฏิบัติตามนโยบาย และกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ควบคุมราคาเรียกเก็บค่ารักษาในกรณีที่ไม่เข้าหลักเกณฑ์ UCEP
ดร.ภญ.ศีลจิต อินทรพงษ์ รองโฆษกสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า สพฉ. ได้จัดตั้ง “ศูนย์ประสานคุ้มครองสิทธิผู้ป่วยฉุกเฉิน” (ศคส.) ขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน และ รพ. เอกชนกรณีที่มีปัญหาคัดแยกอาการผู้ป่วยฉุกเฉิน โดยใช้โปรแกรม Emergency Pre-authorization (PA) เพื่อคัดแยกตามกลุ่มอาการ โดยสถานพยาบาลจะทำการกรองข้อมูลอาการ สัญญาณชีพลงในโปรแกรม ซึ่งจะประเมินว่าเข้าเงื่อนไขสิทธิ UCEP หรือไม่ อาทิ หมดสติ ไม่รู้สึกตัว ไม่หายใจ หายใจเร็ว หอบเหนื่อยรุนแรง หาจใจมีเสียติดขัด ซึมลง เจ็บหน้าอกเฉียบพลัน แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก ชักต่อเนื่องไม่หยุด เป็นต้น ทั้งนี้จะมีแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินที่ปรึกษา ศคส.สพฉ. ให้คำปรึกษาคัดกรองอาการอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งผู้ป่วยจะได้รับการรักษาจนพ้นวิกฤติฉุกเฉิน แต่ไม่เกิน 72 ชม. ไม่เสียค่าใช้จ่าย
“ถึงวันนี้ราว 6 ปีแล้ว สพฉ.ได้ทำงานร่วมกับ 3 กองทุน ซึ่งมี สปสช. ทำหน้าที่ Clearing House มีการกำหนดอัตราค่าบริการร่วมทั้ง 3 กองทุน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพและหน่วยงานที่เกี่ยวจ้องทำหน้าที่ Regulator ด้านกฎหมาย ทั้งนี้หากผู้ป่วยรายใดประสงค์ยื่นอุทรณ์ หรือร้องเรียนการรักษา UCEP ติดต่อสอบถาม ศคส.สพฉ. หมายเลข 02-872-1669” รองโฆษก สพฉ. กล่าว
นางสาวดวงนภา พิเชษฐ์กุล ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ข้อมูล สปสช. จากปี 2560 ที่ UCEP เริ่มต้น มีประชาชนรับบริการ 3,896 ครั้ง ปี 2561 เพิ่มเป็น 12,919 ครั้ง ปี 2564 เพิ่มเป็น 18,547 ครั้ง โดยปี 2566 ข้อมูล ต.ค. 65 - มิ.ย. 66 มีประชาชนรับบริการ UCEP แล้ว 16,976 ครั้ง แต่ในปี 2565 เป็นที่น่าสังกตุว่า จำนวนของการรับบริการ UCEP ได้เพิ่มสูงกว่าปกติหลายเท่าตัว 499,876 ครั้ง เป็นผลจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยสรุปในช่วง 6 ปี มีประชาชนรับบริการ UCEP ทั้งหมด 587,960 ครั้ง
ขณะที่การร้องเรียนมายังสายด่วน สปสช. 1330 พบว่าตลอด 6 ปี มีจำนวนทั้งสิ้น 7,522 เรื่อง โดย 2560 มี 47 เรื่อง และปี 2561-2563 ลดลงอยู่ที่ 21 เรื่อง, 7 เรื่อง และ 6 เรื่อง (ตามลำดับ) แต่ปี 2564 การร้องเรียนได้เพิ่มสูงขึ้นเป็น 3,791 เรื่อง และปี 2565 อยู่ที่ 3,257 เรื่อง แต่ปี 2566 (ต.ค. 65 - มิ.ย. 66) ลดลงอยู่ที่ 393 เรื่อง ส่วนใหญ่เป็นผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) มากที่สุด 4,811 เรื่อง รองลงมาสิทธิประกันสังคม 1,904 เรื่อง และสิทธิข้าราชการ 481 เรื่อง และสิทธิบุคคลต่างด้าว 145 เรื่อง นอกนั้นเป็นผู้มีสิทธิอื่น การร้องเรียนมี 2 ประเด็นใหญ่ คือกรณี รพ.เรียกเก็บเงินโดยตรง ไม่เบิกจ่ายจาก สปสช. 5,144 เรื่อง และกรณี รพ.เบิกจ่ายจาก สปสช. พร้อมกับแจ้งให้ประชาชนร่วมจ่าย 2,378 เรื่อง
“หลังรับเรื่องร้องเรียนแล้ว เบื้องต้นจะประสานข้อมูลกับ รพ.ที่เรียกเก็บก่อนเพื่อขอข้อมูลพร้อมชี้แจงหลักเกณฑ์ ทำความเข้าใจกับ รพ. ซึ่งบางครั้งอาจไม่เข้าใจสิทธิและเบิกจ่าย ขณะเดียวกันก็ส่งคำร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป” ผู้ช่วยเลขาธิการ สปสช. กล่าว
ศ.นพ.ไพบูลย์ สุริยะวงศ์ไพศาล อดีตอาจารย์คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ในฐานะผู้วิจัยโครงการติดตามนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติมีสิทธิทุกที่ (UCEP) กล่าวว่า จากนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉิน 3 กองทุน (Emergency Claim Online : EMCO) ที่เริ่มในปี 2555 สู่นโยบาย UCEP ที่ได้ปรับอัตราการเบิกจ่ายมากขึ้น รวมถึงกำหนดหลักเกณฑ์ที่รักษาเฉพาะผู้ป่วยเกณฑ์สีแดงที่มีจำนวนน้อย ไม่รวมผู้ป่วยสีเหลืองและสีเขียว ทั้งจำกัดเวลาดูแล 72 ชม. ทำให้ รพเอกชน Happy มากขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อดูข้อมูลร้องเรียนพบว่า กรณีการถูกเรียกเก็บเงินและปฏิเสธการรักษา โดยเฉพาะใน รพ. Hi-end ก็ยังมีอยู่ ขณะที่จำนวนการร้องเรียนที่ สพฉ. ระบุเหลือเพียงแค่ 5% มองว่าอาจเป็นการพูดเกินจริงเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงนโยบาย EMCO ที่มีการร้องเรียนจำนวนมาก ประกอบกับในภาวะที่ผู้ป่วยเชื่อว่าตัวเองอยู่ในเกณฑ์สีแดง แต่ รพ.ระบุเป็นอาการสีเหลือง ในภาวะเข้าด้ายเข้าเข็มนี้ ทำให้ญาติตัดสินใจจ่ายเงินรักษาเองที่เป็นการปิดโอกาสที่จะร้องเรียนด้วย
ในมุมนักวิชาการ คนไข้สีเหลืองมีโอกาสกลายเป็นสีแดงจากการวินิจฉัยคลาดเคลื่อนได้ หรือในจังหวะการประเมินที่อาการยังไม่ถึงสีแดง อีกทั้งการจำกัดเวลา 72 ชม. ก็เป็นช่องโหว่ในแง่ความปลอดภัยของผู้ป่วยเมื่อเทียบกับนโยบาย EMCO ที่ดูแลจนกว่าผู้ป่วยออกจาก รพ. นอกจากนี้ยังมีประเด็นการนำส่งที่พบว่าแต่ละวันมีผู้ป่วยฉุกเฉินเข้าถึงบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินผ่านสายด่วน 1669 ไม่ถึง 10% คำถามคือแล้วจะอุดช่องว่างเหล่านี้อย่างไร ซึ่ง 10 กว่าปีที่ผ่านมาการที่ สพฉ. ทำได้เท่านี้ 1.อาจถูกจำกัดด้วยงบประมาณ 2.ถูกจำกัดในการสร้างแรงจูงใจ หรือหากลไกอื่นให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามาร่วมมือ รวมทั้งยังมีประเด็นการอบรมเจ้าหน้าที่กู้ชีพที่ยังทำได้น้อยในแต่ละปี
นพ.ณัฐวุฒิ เอี่ยงธนรัตน์ ตัวแทนคณะผู้วิจัยติดตามโครงการเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติมีสิทธิทุกที่ (UCEP) กล่าวว่า ผลการศึกษานโยบาย UCEP หากมองความสำเร็จเชิงนามธรรมขับเคลื่อนมี 3 เรื่อง คือ 1. ผลลัพธ์ที่เกิดกับผู้ป่วย ลดความเหลื่อมล้ำทุกสิทธิในการเข้าถึงบริการการแพทย์ฉุกเฉิน 2. หลักเกณฑ์คัดแยกผู้ป่วย รพ.เอกชนยอมรับได้ มีความชัดเจนของอาการฉุกเฉินวิกฤต
3. วิธีการจ่ายเงินชดเชยค่าบริการแบบเดียวกันไม่ว่าจะเป็นสิทธิการรักษาใด ส่งผลให้คุณภาพการรักษาเท่าเทียมกัน อัตราการเสียชีวิตในแต่ละสิทธิการรักษาไม่แตกต่างกัน อย่างไรก็ดีความสำเร็จ 3 ข้อนี้เป็นคุณลักษณะที่พึงประสงค์ในเชิงนามธรรม แต่ถ้ามองความสำเร็จในเชิงรูปธรรมโดยยึดคำว่าเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่ จากการศึกษาจนถึงปัจจุบัน ยังไม่พบหลักฐานสนับสนุนว่าผู้ป่วยจะสามารถเข้าถึงบริการการแพทย์ฉุกเฉินตรงตามระดับความเร่งด่วนของการรักษาพยาบาลตามที่โฆษณาไว้
ส่วนปัญหาการดำเนินนโยบายพบใน 4 ประเด็น ที่เป็นเชิงคุณภาพการรักษา คือ 1.ความแตกต่างของคุณภาพบริการในแต่ละภูมิภาค 2.มีช่องว่างในกระบวนการดูแลก่อนถึง รพ. 3.ผู้ป่วย 20-30% ยังถูก รพ.เอกชนเรียกเก็บเงินมัดจำก่อนให้บริการ และ 4.ผู้ให้บริการยังมีปัญหาบันทึกข้อมูล pre-authorization ไม่ครบถ้วน นอกจากนี้การจำกัดเวลา UCEP ที่ 72 ชม. ยังไม่สอดคล้องกับอาการผู้ป่วยแต่ละรายด้วย
ดังนั้นจึงมีข้อเสนอเพื่อการพัฒนา คือให้ขยายนโยบาย UCEP ไปสู่ รพ.รัฐทั่วประเทศ เพื่อเป็นหลักประกันว่าผู้ป่วยวิกฤตทุกคนจะเข้าถึงการรักษาอย่างทันการณ์ มีคุณภาพและทั่วถึง และแก้ไขกฎระเบียบด้านการเงินให้ยืดหยุ่นใกล้เคียง รพ.เอกชน รวมทั้งส่งเสริมองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ที่รับถ่ายโอนภารกิจโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ให้มีบทบาทพัฒนาเครือข่ายบริการกู้ชีพร่วมกับ รพ. สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด และมูลนิธิต่างๆ เพื่อลดความแตกต่างของบริการกู้ชีพระหว่างภูมิภาค
นายพงษ์ชัย มณีโชติ บุตรชายของผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติรายหนึ่ง กล่าวว่า เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2565 บิดาของตนเส้นเลือดในสมองแตก นำส่ง รพ.เอกชนแห่งหนึ่งเวลา 17.30 น. แพทย์ประเมินเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติและให้การรักษา ต่อมาเวลา 19.44 น. แพทย์แจ้งว่าพ้นภาวะวิกฤติแล้ว จากนั้น รพ.ได้ให้น้องสาวเซ็นตนหนังสือรับทราบสิทธินโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต เพื่อเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล ด้วยที่น้องสาวไม่ทราบรายละเอียดหลักเกณฑ์และต้องการให้บิดารักษาต่อเนื่อง จึงเซ็นว่าไม่ประสงค์ย้ายไปรักษาต่อที่ รพ.ตามสิทธิ วันต่อมาตนได้เข้าแจ้งขอย้ายไปรักษาที่ รพ.ตามสิทธิ เมื่อครบ 72 ชม. ปรากฎว่า รพ. ได้เรียกเก็บเงิน 95,000 บาท โดยให้เหตุผลว่า แพทย์วินิจฉัยว่าพ้นวิกฤติแล้วตั้งแต่ 19.44 น. และญาติผู้ป่วยไม่ประสงค์ส่งต่อ รพ.จึงเรียกเก็บค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 19.44 น. ของวันที่ 7 ก.ค. 2565 ถึงวันที่ 10 ก.ค. 2565
“เราเข้าใจว่าภายใน 72 ชม. สามารถใช้สิทธิ UCEP ได้ จึงร้องเรียนไปที่ สพฉ. วันที่ 11 ก.ค. 2565 และได้หนังสือตอบกลับ ก.พ. 2566 ระบุว่า รพ.แจ้งเหตุผลเหมือนข้างต้นคือผู้ป่วยพ้นวิกฤตแล้วญาติไม่ประสงค์ให้ส่งต่อ ถึงตอนนี้ก็ไม่ได้มีการคืนเงินแต่อย่างใด ตรงนี้ถือเป็นช่องว่าง เพราะเราเข้าใจว่าใน 72 ชม. สามารถใช้สิทธิรักษาฉุกเฉินวิกฤติได้ เพื่อให้ผู้ป่วยรักษาต่อเนื่องก่อน ดังนั้นจึงควรมีการชี้แจงให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้ประชาชนเกิดปัญหาการใช้สิทธิ” นายพงษ์ชัย กล่าว