กรมวิทย์ฯ ยืนยันไทยพบสายพันธุ์ HK.3 จริง ยังไม่มีหลักฐานเรื่องความรุนแรงเพิ่มขึ้นทั่วโลกยังพบผู้ติดเชื้อน้อย

www.medi.co.th

นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พร้อมด้วย นพ.บัลลังก์ อุปพงษ์ รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และดร.นพ.อาชวินทร์ โรจนวิวัฒน์ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธาณสุข แถลงข่าวอัพเดทสถานการณ์การเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด 19 ในประเทศไทย และโอมิครอน HK.3 ว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ร่วมกับ เครือข่ายห้องปฏิบัติการติดตามการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์เชื้อไวรัสโควิด 19 พบเชื้อไวรัสมีการกลายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง สำหรับสายพันธุ์ที่องค์การอนามัยโลกติดตามใกล้ชิดในปัจจุบัน ได้แก่ 



  • สายพันธุ์ที่เฝ้าระวัง หรือ Variants of Interest (VOI) 3 สายพันธุ์ ได้แก่ XBB.1.5* XBB.1.16*และ EG.5*

  • สายพันธุ์ที่ต้องจับตามอง หรือ Variants under monitoring (VUM) 7สายพันธุ์ ได้แก่BA.2.75*BA.2.86CH.1.1*XBB*XBB.1.9.1* XBB.1.9.2*และ XBB.2.3*


นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า สถานการณ์ภาพรวมทั่วโลกจากฐานข้อมูลกลางGISAID รอบสัปดาห์ที่ 26 ถึง 30 (เดือนกรกฎาคม 2566) พบ XBB.1.16 และ EG.5 เป็นสายพันธุ์ในกลุ่ม VOI ที่พบมากที่สุด ทั้งสองสายพันธุ์มีสัดส่วน 21.1% โดยมีรายงานพบ XBB.1.16 จาก 101 ประเทศ และพบ EG.5 จาก 50 ประเทศ โดย EG.5 มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าในรอบหนึ่งเดือน ปัจจุบันยังไม่พบมีรายงานการเพิ่มความรุนแรงของโรคอย่างไรก็ตาม จากความได้เปรียบในการเติบโตและคุณลักษณะหลบภูมิคุ้มกัน จึงมีความเป็นไปได้ว่า EG.5 จะเพิ่มมากขึ้นและกลายเป็นสายพันธุ์หลักในระดับประเทศหรือทั่วโลก  ในขณะที่ XBB.1.5 พบรายงานจาก 121 ประเทศทั่วโลก ซึ่งมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง


สำหรับประเทศไทย สถานการณ์โดยรวมในปัจจุบันพบว่า XBB.1.16 เป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาด โดยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างวันที่14-27สิงหาคม2566 ผลการถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อก่อโรคโควิด 19 จำนวน 116รายพบส่วนใหญ่96.55% เป็นสายพันธุ์ลูกผสมกระจายทุกเขตสุขภาพสายพันธุ์XBB.1.16* พบสัดส่วนมากที่สุด (38.79%) ถัดมาคือXBB.1.9.1* (14.66%), XBB.2.3* (16.38%), XBB* (10.34%) และEG.5.1* พบสัดส่วน6.90% (ในประเทศไทยพบระหว่างเดือนเมษายน-กรกฎาคม 2566 จำนวน 8 ราย และในเดือนสิงหาคม 2566 พบเพิ่มจำนวน 7 ราย ปัจจุบันพบสายพันธุ์ EG.5.1* แล้วจำนวน15 ราย) ในขณะที่XBB.1.5* พบ2.59%และพบสายพันธุ์XBB.1.9.2*อื่นๆนอกเหนือจาก EG.5.1* จำนวน 6.90%ข้อมูลจากห้องปฏิบัติการแสดงให้เห็นว่าสัดส่วนของEG.5.1*มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สำหรับXBB.1.5*พบในสัดส่วนลดลง


สำหรับ สายพันธุ์HK.3 (XBB.1.9.2.5.1.1.3) มีต้นตระกูลมาจาก EG.5.1 มีการกลายพันธุ์บนส่วนหนามสองตำแหน่งติดกันคือ L455F และ F456L ในภาพรวมทั่วโลก มีรายงานพบHK.3 จำนวน 127 รายจาก 12 ประเทศ คือ ออสเตรเลีย แคนาดา จีน เดนมาร์ก เยอรมัน ญี่ปุ่น  สิงคโปร์ เกาหลีใต้  สเปน สวีเดน สหรัฐอเมริกา และในประเทศไทย พบไวรัสที่มีการกลายพันธุ์ใน 2 ตำแหน่งดังกล่าวทั้งหมด 3 ราย แต่มีเพียง 2 รายที่จัดเป็น HK.3 โดยผู้ติดเชื้อทั้ง 2 ราย เป็นครอบครัวเดียวกัน ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้รายงานฐานข้อมูลกลางGISAID เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2566


สำหรับข้อสงสัยเกี่ยวกับความได้เปรียบในการเติบโตของ HK.3 ที่มีความสามารถในการแพร่ได้เร็วกว่า XBB.1.16ที่เป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดของประเทศไทยในปัจจุบันถึง95% และหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้มากขึ้นขอขี้แจงว่าการคำนวณ % อาจมีความคลาดเคลื่อนเนื่องจากจำนวนข้อมูลมีจำกัด ประกอบกับทั่วโลกมีรายงานตรวจพบ HK.3 เพียง 127 รายเท่านั้น จาก 12 ประเทศ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก และยังไม่มีหลักฐานที่ส่งผลต่อความรุนแรงของโรคเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และเครือข่ายห้องปฏิบัติการจะเฝ้าระวังและติดตามอย่างใกล้ชิด


ส่วนสายพันธุ์ BA.2.86เป็นสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอนBA.2 และองค์การอนามัยโลกให้เป็นสายพันธุ์ที่ต้องจับตามอง (VUM)หากนำไปเปรียบเทียบกับ XBB.1.5และ XBB.1.16ที่เป็นสายพันธุ์หลักระบาดในปัจจุบัน จะพบความแตกต่างถึง36 ตำแหน่ง โดยมีรายงานในฐานข้อมูล GISAID แล้ว 21 ราย พบใน 7 ประเทศคือ เดนมาร์ก สวีเดน โปรตุเกส อิสราเอล สหรัฐอเมริกา แอฟริกา และอังกฤษขณะนี้ยังไม่พบในประเทศไทยขณะที่ Dr.LeshanWannigamaและทีมนักวิจัย จุฬาฯได้ถอดรหัสพันธุกรรมตัวอย่างไวรัสจากน้ำเสียที่เก็บในกรุงเทพมหานคร ช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา ในเฉพาะส่วน S-Gene (ไม่ใช่ทั้งตัวไวรัส) แล้วนำไปเทียบกับBA.2.86ทั้ง 9 ตัวอย่างที่รายงานใน GISAID พบว่าสอดคล้องกันทั้งนี้ ยังไม่พบข้อมูลที่บ่งชี้ว่ามีการเพิ่มความรุนแรงหลบภูมิคุ้มกันหรือแพร่เร็วขึ้นกว่าสายพันธุ์อื่นแต่อย่างใด


“จึงขอให้ประชาชนอย่าเพิ่งตระหนกตกใจเกินไป สำหรับเชื้อไวรัสโควิด 19 กลายพันธุ์เป็นเรื่องปกติขอให้มั่นใจว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และหน่วยงานทางการแพทย์ของไทยมีบุคลากร ความรู้ ความสามารถจะสามารถตรวจพบได้อย่างแน่นอน ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และเครือข่ายห้องปฏิบัติการยังคงเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในผู้ติดเชื้อที่มีอาการรุนแรง หรือเสียชีวิตสำหรับการป้องกันตนเองตามมาตรการสาธารณสุข ยังใช้ได้กับทุกสายพันธุ์” นพ.ศุภกิจ กล่าวทิ้งท้าย