“แพทย์รังสิตเฮลท์แคร์กรุ๊ป” กวาดกำไรไตรมาส 3 ปี 66 ที่ 81.89 ลบ. โตแรง 16.02% YOY ส่งผลให้กำไร 9 เดือนปี 66 รวมเป็น 157.8 ลบ. หลังรายได้เพิ่มขึ้นทุกกลุ่มลูกค้า ส่วนรพ.แม่และเด็กหนุนอัตราครองเตียงทะลุ 92% กางแผนอัพรายได้ปี 68 ทะลุ 2,600 ลบ. ขยายเตียงผู้ป่วยในแตะ 300 เตียง เพิ่มผู้ป่วยประกันสังคมแตะ 176,000 ราย
นายรณชิต แย้มสอาด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แพทย์รังสิตเฮลท์แคร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ PHG เปิดเผยว่า ผลประกอบการในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 บริษัทฯมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 81.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.31 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 16.02% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 70.58 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรสุทธิรวม 9 เดือนของปี 2566 อยู่ที่ 157.8 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทฯมีรายได้รวมช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 อยู่ที่ 568.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51.13 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 9.89% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 516.91 ล้านบาท
โดยการเพิ่มขึ้นของทั้งกำไร และรายได้ของบริษัทฯ มีสาเหตุหลักมาจากรายได้จากการให้บริการกับกลุ่มลูกค้าปกติ หรือ Normalized revenue เติบโตอยู่ที่ 19.11% ซึ่งการเติบโตดังกล่าวเป็นผลมาจากรายได้ของกลุ่มลูกค้าทั่วไป และคู่สัญญาเติบโตอยู่ที่ 15.80% ในขณะที่อัตราการครองเตียงสำหรับช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 อยู่ที่ 92.96% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่อยู่ที่ 86.14% โดยการเพิ่มขึ้นของอัตราครองเตียงมาจากการเข้ารับบริการของผู้ป่วยเด็กจากโรงพยาบาลเฉพะทางแม่และเด็ก เนื่องจากมีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้ออาร์เอสวี และโรคไข้หวัดใหญ่ นอกจากนี้อัตราการเข้ารับบริการของผู้ป่วยนอกสำหรับช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 66 อยู่ที่ 66.65% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่อยู่ที่ 61.04% โดยการเพิ่มขึ้นของอัตราการเข้ารับบริการของผู้ป่วยนอกมาจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้เข้ารับบริการต่อวันทั้งในส่วนลูกค้าทั่วไป และลูกค้าประกันสังคมเนื่องจากโรงพยาบาลได้รับเปิดรับจำนวนผู้ประกันตนเพิ่มขึ้นในปี 2566 จาก 140,000 คน เป็น 156,000 คน
ในขณะเดียวกันบริษัทฯตั้งเป้ารายได้รวมทะลุ 2,600 ล้านบาทภายในปี 2568 ด้วยกลยุทธ์ในการขยายบริการทางการแพทย์, เพิ่มศักยภาพการบริการ, ขยายช่องทางการรับผู้ป่วยใหม่เพิ่มเติม, จัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดด้วยมาตรฐานการแพทย์ และการดูแลสุขภาพขั้นสูง และปรับปรุงวอร์ดผู้ป่วยขยายพื้นที่ให้บริการทางการแพทย์ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีมาสนับสนุนการให้บริการทางการแพทย์อีกด้วย ทั้งนี้บริษัทฯได้ลงทุนใน GYNE Cosmetics ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ มีกลุ่มเป้าหมายเป็นคนไข้ชาวไทย และชาวต่างชาติ รวมถึงความร่วมมือกับ Haifu Chongqing สำหรับพัฒนาวิธีการรักษาโดยการผ่าตัดแบบไม่ต้องเปิดแผล หรือ non-invasive surgery treatment สำหรับผู้หญิงที่เป็นโรคทางนรีเวชโดยเฉพาะ รวมถึงการจัดตั้งศูนย์เคมีบำบัดสำหรับผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ซึ่งคาดว่าจะสามารถให้บริการผู้ป่วยมากกว่า 200 คนภายในสิ้นปีนี้
ทั้งนี้แผนในการขยายธุรกิจเพื่อเพิ่มศักยภาพในการให้บริการทางการแพทย์ของบริษัทฯยังคงเดินหน้าตามแผนที่ได้วางไว้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นโครงการก่อสร้างอาคารจอดรถ และโครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยใหม่ที่ 1 ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2567 และโครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยใหม่ที่ 2 ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2569 รวมถึงการซื้อเครื่องมือ และอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อเพิ่มศักยภาพในการให้บริการทางการแพทย์ ทั้งนี้ภายในสิ้นปี 2567 บริษัทฯคาดว่าจะสามารถเพิ่มปริมาณการรองรับผู้ป่วยด้วยการเพิ่มเตียงผู้ป่วยใน หรือ IPD จากเดิม 270 เตียงเป็น 300 เตียง หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้นราว 16% และเพิ่มการรองรับและให้บริการผู้ป่วยประกันสังคมจากเดิม 156,000 คนเป็น 176,000 คน หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้นราว 13% รวมถึงการเพิ่มความสามารถในการรองรับผู้ป่วยโรคไตเพิ่มขึ้นจากเดิม 63 ยูนิตเป็น 130 ยูนิต หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้นราว 106%