โครงการนี้มุ่งเน้นให้สามารถผลิตยารักษาโรคมะเร็งได้ครอบคลุมการรักษาทุกกลุ่มโรคมะเร็งในปัจจุบัน
(นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (ที่สามจากขวา) นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (ที่สามจากซ้าย) นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม (ที่สองจากซ้าย) นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ที่สองจากขวา) ภญ.ดนตรี เกษสุวรรณสิงห์ รองผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม (ซ้าย) และ นายบุรณิน รัตนสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริหารกลยุทธ์ กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย (ขวา) ร่วมในพิธีลงนามสัญญาร่วมพัฒนาโครงการโรงงานผลิตยารักษาโรคมะเร็ง)
องค์การเภสัชกรรมร่วมกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) จับมือพัฒนาโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยาทุกรูปแบบในการรักษาโรคมะเร็งแห่งแรกของประเทศไทย ช่วยผู้ป่วยให้สามารถเข้าถึงยาคุณภาพสูง ลดค่าใช้จ่ายการนำเข้ายาจากต่างประเทศมูลค่าปีละกว่า 21,000 ล้านบาท ลงกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ เสริมการพึ่งพาตนเองและความมั่นคงทางยาอย่างยั่งยืน พร้อมเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของอุตสาหกรรมยาให้ทัดเทียมระดับสากล คาดเริ่มการผลิตได้ในปี 2570
วันที่ 25 กันยายน 2563 ณ อาคารสภาวิชาชีพ แพทยสภา กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในพิธีลงนามสัญญาร่วมพัฒนาโครงการโรงงานผลิตยารักษาโรคมะเร็ง ระหว่างองค์การเภสัชกรรม (อภ.) โดย นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม และ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) โดย นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวในพิธีลงนามสัญญาร่วมพัฒนาโครงการโรงงานผลิตยารักษาโรคมะเร็ง ถึงความร่วมมือระหว่าง อภ. กับ ปตท. ว่า องค์การเภสัชกรรมเป็นองค์กรหลักด้านยาและเวชภัณฑ์ของประเทศ ได้ดำเนินการโครงการพัฒนายารักษาโรคมะเร็ง โดยดำเนินการวิจัย พัฒนา และรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากผู้ผลิตยารักษาโรคมะเร็งชั้นนำของโลก พร้อมทั้งมีแผนก่อสร้างโรงงานผลิตยารักษาโรคมะเร็งขึ้นมาโดยเฉพาะ โดยมุ่งเน้นการผลิตยารักษาโรคมะเร็ง ทั้งยาเคมีบำบัด (Chemotherapy) และกลุ่มยารักษาแบบจำเพาะเจาะจง (Targeted Therapy) อันประกอบด้วยยาชนิดเม็ดประเภท Tyrosine Kinase Inhibitors (TKIs) ซึ่งเป็นยาชนิด small molecule สามารถแพร่เข้าเซลล์และจับกับเป้าหมายภายในเซลล์ได้โดยตรง และยาฉีดแบบชีววัตถุคล้ายคลึงประเภท Monoclonal antibodies (Biosimilar) ซึ่งส่วนใหญ่ไม่สามารถผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ได้ แต่จะไปจับกับเป้าหมายที่อยู่ภายนอกเซลล์หรือบนผิวเซลล์แทน
โครงการนี้มุ่งเน้นให้สามารถผลิตยารักษาโรคมะเร็งได้ครอบคลุมการรักษาทุกกลุ่มโรคมะเร็งในปัจจุบัน เพื่อความมั่นคงและยั่งยืนของระบบสาธารณสุขของประเทศ โดยโรงงานผลิตยารักษาโรคมะเร็งจะต้องมีมาตรฐานคุณภาพการผลิตที่เป็นสากล มีมาตรฐานความปลอดภัยและต้องใช้เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง ทาง อภ. กับ ปตท. จึงได้ร่วมกันดำเนินการศึกษาและออกแบบโรงงานผลิตยารักษาโรคมะเร็ง นอกจากนั้น โรงงานแห่งนี้ยังสามารถรองรับและต่อยอดงานวิจัยจากห้องปฏิบัติการสู่การผลิตในระดับอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนเพื่อให้ประเทศมีความมั่นคงด้านยา และสามารถพึ่งพาตนเองได้มากขึ้นตลอดไป
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวในนามตัวแทนของ ปตท. ว่า โครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยารักษาโรคมะเร็งเป็นหนึ่งในเจตนารมณ์ของ ปตท. ในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนตามพันธกิจ “Powering Thailand’s Transformation” และเป็นแรงขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลง โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมสู่ทุกภาคส่วน การร่วมลงนามโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยารักษาโรคมะเร็งนี้จะเป็นประโยชน์อันดีต่อประเทศในการช่วยรักษาชีวิตผู้ป่วยโรคมะเร็งที่มีเป็นจำนวนมากในปัจจุบัน รวมทั้งยังช่วยประหยัดงบประมาณของประเทศ และลดการนำเข้ายารักษาโรคจากต่างประเทศด้วย
ปตท. เองจะใช้ศักยภาพและความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม ตลอดจนความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการโครงการ เพื่อสนับสนุนการก่อสร้างโรงงานให้สามารถแล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด รวมถึงร่วมมือกับ อภ. ในการนำองค์ความรู้ ประสบการณ์ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการตลาดที่ทั้ง 2 องค์กรมีอยู่มาใช้เพื่อให้โรงงานผลิตยารักษาโรคมะเร็งของไทยแห่งนี้เกิดการบริหารจัดการที่ดี มีประสิทธิภาพ และช่วยลดต้นทุนการผลิต ทำให้คนไทยได้ใช้ยาที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากล ในราคาที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ถือเป็นตัวอย่างความร่วมมือของรัฐวิสาหกิจไทย ที่ร่วมกันเดินหน้าเพื่อพัฒนาประเทศไทย ตามแนวทาง “Restart Thailand” ขอขอบคุณ อภ. ที่ได้ให้ความไว้วางใจและให้ ปตท. ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการดี ๆ เพื่อประเทศไทย
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวแสดงความยินดีในการลงนามครั้งนี้ว่า จากสถานการณ์โรคมะเร็งในประเทศ พบว่า โรคมะเร็งเป็นหนึ่งในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เป็นปัญหาสำคัญของระบบสาธารณสุขและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตสูงมากเป็นอันดับหนึ่งต่อเนื่องมาถึง 20 กว่าปี คนไทยต้องเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งกว่า 80,000 คนต่อปี ขณะที่ทั่วโลกมีรายงานการเสียชีวิตประมาณ 10 ล้านคนต่อปี และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี นอกจากนี้ ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยคาดว่าในอีกไม่ถึง 20 ปี จะเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ที่เรียกว่า Super age society จากสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลให้ผู้สูงอายุต้องเผชิญกับปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคหัวใจ โรคไต ถ้าไม่ได้มีการดูแลเป็นอย่างดี และจะกลายเป็นความสูงอายุที่ไม่สมบูรณ์ ไม่มีคุณภาพ โดยที่โรคมะเร็งเป็นหนึ่งในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังซึ่งเป็นปัญหาสำคัญในระบบสาธารณสุขของประเทศ มีอัตราการเสียชีวิตสูง และมีค่าใช้จ่ายด้านยาที่สูงมาก จึงส่งผลกระทบทั้งทางด้านสังคมและเศรษฐกิจ ดังนั้น ต้องถือว่าความร่วมมือในการสร้างโรงงานผลิตยารักษาโรคมะเร็งในครั้งนี้เป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับประเทศไทยที่จะมีโรงงานผลิตยารักษาโรคมะเร็งของเราเองที่สามารถผลิตยาครอบคลุมการรักษาทุกกลุ่มโรคมะเร็งในปัจจุบันและในทุกกลุ่มการผลิต ทั้งยาเคมีบำบัดซึ่งเป็นยาพื้นฐานในการรักษาโรคมะเร็งที่ออกฤทธิ์ทั่วร่างกาย และกลุ่มยารักษาแบบจำเพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง เมื่อผลิตได้สำเร็จคาดว่าจะช่วยลดราคายาลงได้มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ และจะช่วยลดภาระการนำเข้ายาจากต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันต้องนำเข้าทั้งหมดเป็นมูลค่ามากกว่า 21,000 ล้านบาทต่อปี และจะเกิดประโยชน์แก่ผู้ป่วยให้เข้าถึงยาได้มากขึ้น เป็นการพึ่งพาตนเอง อีกทั้งยังเป็นการยกระดับอุตสาหกรรมยาของไทยให้ทัดเทียมกับสากล สร้างความมั่นคงทางยา และเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน
ขอให้การดำเนินงานของทั้ง 2 องค์กร บรรลุวัตถุประสงค์ที่ทุกคนมีความมุ่งมั่นปรารถนา เพื่อให้เกิดความสะดวกสบายแก่พี่น้องประชาชนให้ได้เข้าถึงยาและระบบสาธารณสุขของประเทศ ส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ทำให้ ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวในนามกระทรวงพลังงานว่า โรคมะเร็งเป็นโรคที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง โดยการใช้ยาที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศร่วมกับการรักษาด้วยวิธีอื่น ทำให้การเข้าถึงยาที่มีคุณภาพเป็นไปได้ยากและมีราคาแพง ดังนั้น การส่งเสริมการวิจัยและการผลิตยาที่ทันสมัย จึงเป็นสิ่งจำเป็นและสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาประเทศในการมุ่งเน้นเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว (BCG Economy) ซึ่งเป็น New S-Curve ของประเทศไทย โดยอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร (Comprehensive Medical Industry) เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพและจะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางด้านสุขภาพและวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต (Life Science) ที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นยอดพีระมิดสูงสุดในอุตสาหกรรมชีวภาพ
สำหรับความร่วมมือในการพัฒนาโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยารักษาโรคมะเร็งระหว่าง อภ. กับ ปตท. นี้ เป็นอีกก้าวที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายของการยกระดับสาธารณสุข วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการแพทย์ของไทย ส่งเสริมการต่อยอดงานวิจัยทางการแพทย์ของประเทศให้สำเร็จเป็นรูปธรรม ทั้งยังจะก่อให้เกิดการจ้างงาน ช่วยลดค่าใช้จ่ายของภาครัฐในการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง ตลอดจนเสริมสร้างศักยภาพและความมั่นคงทางด้านสาธารณสุขและเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
องค์การเภสัชกรรมเป็นองค์กรหนี่งใน สธ. ที่อยู่คู่กับคนไทยมานาน บุคลากรมีคุณภาพในการทำงาน แต่สิ่งที่ยังขาดอยู่ เป็นเรื่องของงบประมาณ ถ้างบประมาณช้า 1 ปี วิทยาการจะช้าไปอีก 1 ปี ถ้าเร่งให้รวดเร็วขึ้นได้ เชื่อว่าคนไทยหรือเภสัชกรไทยจะทำอะไรได้อีกหลายอย่าง จึงรู้สึกดีใจที่ได้เห็นอีกองค์กรหนึ่งที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงพลังงาน คือ ปตท. ได้ร่วมมือกับ อภ. ในครั้งนี้ ซึ่งตลอด 30 ปี ของ ปตท. ได้มุ่งเน้นในธุรกิจที่มีความชำนาญและประสบความสำเร็จ ในวันนี้ ปตท. มีความแข็งแรง มีความพร้อมที่จะสนับสนุน เชื่อมโยง และช่วยเหลือในสิ่งที่จะสร้างความแข็งแรงของประเทศไทย
จากคำกล่าวของ นพ.วิฑูรย์ ผอ.อภ. ทราบว่า จะมีการผลิตทั้งยาเคมีบำบัด (Chemotherapy) ยาเม็ด ยาฉีดที่เป็น biosimilar หรือชีววัตถุคล้ายคลึง แสดงว่าสิ่งที่ อภ. ได้ร่วมทำกับ ปตท. ไปไกลจนกระทั่งคิดว่าเราจะได้ยาที่ดีและเหมาะสมกับการรักษาโรคมะเร็งในอนาคตด้วย ยาเม็ด ยาฉีดเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งสามารถดำรงชีวิตและมีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไปได้ จึงขอแสดงความยินดีกับรองนายกฯ และ รมว.สธ. ที่เป็นกำลังสำคัญในการผลักดันให้หน่วยงานทั้งหมดของ สธ.ได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์ และได้พิสูจน์แล้วในช่วงเวลาต่าง ๆ ที่ผ่านมาว่างานสาธารณสุขของประเทศไทยไม่เป็นรองใคร ในขณะที่หลายประเทศยังแก้ปัญหาโรคโควิด-19 กันอยู่ วันนี้ประเทศไทยสามารถควบคุมโรคได้ดีแล้ว และจะมีการผ่อนคลาย เริ่มเปิดประเทศทีละน้อย และจะนำความผาสุกความสมบูรณ์ของทุกภาคส่วนในประเทศไทยให้กลับมาสู่สภาพเดิมให้เร็วที่สุด และถ้าเป็นไปได้จะทำให้กลับมาแข็งแรงมากยิ่งขึ้น และยิ่งกว่านั้นทั้ง ปตท. และ อภ. จะเป็นกลไกสำคัญที่จะดึงดูดนักลงทุนทางด้าน medical care และ equipment ต่าง ๆ ช่วยให้อุปกรณ์มีราคาถูกลง และเพิ่มศักยภาพของบุคลากรในประเทศไทยให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น จึงขอเป็นกำลังสำคัญร่วมอีกแรงหนึ่งที่จะช่วยให้ทั้งสององค์กรประสบความสำเร็จในการดำเนินโครงการนี้
นายอนุทินกล่าวเพิ่มเติมภายหลังพิธีการลงนามว่า อภ. ได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากกลุ่มบริษัท ปตท.โดย นายอรรถพล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. ได้มีการศึกษาร่วมกันและเห็นว่าประเทศไทยควรจะมีโรงงานผลิตยารักษาโรคมะเร็งทุกชนิดของไทยเอง ซึ่งมั่นใจว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของการคืนประโยชน์กลับสู่สังคม จึงได้อาสามาเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างโรงงานนี้ โดย ปตท. จะลงทุนให้ก่อน ทั้งการออกแบบ การก่อสร้าง การกำกับดูแลควบคุมงาน ส่วน อภ. จะใช้เทคโนโลยีด้านการผลิตยามาดำเนินการต่อไป และทยอยจ่ายค่าเช่าเหมือนเป็นการคืนการลงทุนให้ ปตท. “สิ่งที่สำคัญ คือ ประเทศไทยจะมีโรงงานผลิตยารักษาโรคมะเร็งของเราเอง ลดการนำเข้ายา ลดการพึ่งพาต่างชาติ และมีความเป็นอิสระในการบริหารจัดการยา”
“โครงการนี้เป็นข่าวดีของทั้งประเทศไทยและทั้งโลก ถ้าประเทศไทยผลิตยารักษาโรคมะเร็งได้เมื่อไร เราจะรักษาผู้ป่วยและจะลดการเสียชีวิตลงได้ จะมีจำนวนผู้ป่วยลดน้อยลง การมีโรงงานผลิตยารักษาโรคมะเร็งได้เอง ในวันหนึ่งข้างหน้าเราคงไม่ได้ดูแลเฉพาะคนป่วยในประเทศเท่านั้น แต่จะช่วยคนทั้งโลกในการเข้าถึงการรักษาโรคมะเร็งได้"
ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ คาดว่าโรงงานนี้จะผลิตยาได้ในปี 2570 โดยในการดำเนินโครงการนั้น ไม่ใช่มีเรื่องการก่อสร้างอย่างเดียว จะต้องมีขั้นตอนการขึ้นทะเบียน พิสูจน์สรรพคุณของยา การขออนุญาตและการพัฒนาทางเทคโนโลยี แต่เราจะเร่งรัดอย่างเต็มที่
สำหรับความพร้อมทางด้านเทคโนโลยี นอกจาก อภ. จะมีฝ่ายวิจัยและพัฒนาแล้ว ยังมีบันทึกความร่วมมือกับสถาบันวิจัยและคณะแพทยศาสตร์ต่าง ๆ ไม่ใช่เฉพาะในประเทศ แต่ทั่วทั้งโลก ถ้าเรามีระบบสาธารณูปโภค คือ มีโรงงานที่ดี มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีทุน ทุกฝ่ายจะให้ความสนใจและเข้ามาขอมีส่วนร่วมกับเราด้วย
นอกจากทาง ปตท.กับ อภ. จะเริ่มโครงการสร้างโรงงานผลิตยารักษาโรคมะเร็งแล้ว ทาง สธ. ยังได้นำเสนอเรื่องไปที่คณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติเครื่องฉายรังสีหรือรังสีรักษาอีก 7 เครื่อง สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง ซึ่ง สธ. ได้ศึกษาและพบว่าจะสามารถให้บริการครอบคลุมได้ทั่วทุกภาค ประชาชนไม่ต้องเดินทางข้ามเขตไปไกล และไม่ต้องต่อคิวยาวในการรับการรักษา การรักษาจะมีประสิทธิผล รวดเร็ว โดยสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ได้อนุมัติในหลักการแล้ว เครื่องฉายรังสีที่จะอยู่ตามโรงพยาบาลเพิ่มอีก 7 เครื่องนี้ จะช่วยให้เกิดความสะดวกแก่ประชาชนยิ่งขึ้น สามารถให้การรักษาแก่ประชาชน ในขณะที่โรคยังไม่กำเริบไปถึงขั้นที่รักษาได้ยาก ซึ่งสอดคล้องกับการมียารักษา ประชาชนจะเข้าถึงการรักษา ได้รับความสะดวก และพื้นฐานสาธารณสุขของไทยจะยกระดับพัฒนามากขึ้นต่อไป
ขณะที่ นายอรรถพลกล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้มาจากนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ประเทศไทยเป็น medical hub โดยโครงการนี้เป็นความร่วมมือที่ ปตท. ได้คุยกับทาง อภ. มาระยะหนึ่งแล้ว จึงได้มีการลงนามความร่วมมือในวันนี้ ซึ่งทาง ปตท. มีความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม เรื่องวิศวเคมี และการบริหารจัดการโครงการ จึงคิดว่าจะมีส่วนช่วยเร่งให้โครงการนี้เสร็จเร็วขึ้น และสามารถทำให้คนไทยเข้าถึงยาต้านโรคมะเร็งได้มากขึ้น ในราคาที่ถูกลง
สำหรับงบประมาณการก่อสร้างโรงงานผลิตยารักษาโรคมะเร็งเบื้องต้นประมาณ 2,500 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ในระหว่างที่ อภ. และ ปตท. ร่วมกันดำเนินการคัดเลือกเทคโนโลยีและการออกแบบในรายละเอียด จากนั้นถึงจะเริ่มการก่อสร้าง
โรงงานผลิตยารักษามะเร็งนี้ จะตั้งอยู่ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมวนารมย์ของ ปตท. หรือ PTT WEcoZi อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง ซึ่งขั้นตอนต่อไปในการศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างโรงงานผลิตยารักษาโรคมะเร็งขั้นละเอียด (Detailed Feasibility Study) คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 14 เดือน จึงแล้วเสร็จ หลังจากนั้นจะทำการสรุปผลการศึกษาและประเมินแนวทางการขับเคลื่อนโครงการนี้ต่อไป โดยมีแผนที่จะดำเนินการก่อสร้างโรงงานผลิตยาในปี 2565 เพื่อให้สามารถทำการวิจัย พัฒนา และผลิตยารักษาโรคมะเร็งจำหน่ายเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2570
“วันนี้เป็นวันลงนามสัญญาร่วมกัน และเมื่อเราทำ feasibility study เสร็จแล้ว ต่อไปจะอยู่ในขั้นตอนการออกแบบก่อสร้างโรงงานในรายละเอียด และคัดเลือกผู้รับเหมาลงมือก่อสร้าง”
นายอรรถพลกล่าวว่า โครงการพัฒนายารักษาโรคมะเร็งนี้ ยังตอบสนองนโยบายของประเทศในทุกภาคส่วน ทั้งในด้านยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี เพื่อให้ประเทศไทยบรรลุวิสัยทัศน์ “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน โดยการพัฒนาและเพิ่มสัดส่วนอุตสาหกรรมทางการแพทย์และชีวภาพที่มีมูลค่าสูง เพื่อลดต้นทุนการรักษาพยาบาลและยกระดับการให้บริการทางการแพทย์อย่างมีคุณภาพในระดับสากล และปฏิรูปด้านสาธารณสุขของประเทศไทย
นพ.วิฑูรย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับลักษณะของโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยารักษาโรคมะเร็งว่า ในเรื่องเทคโนโลยีการผลิตยารักษาโรงมะเร็ง ในตอนนี้กำลังพิจารณาคัดเลือกบริษัทที่มีความเหมาะสมซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ ทั้งจากประเทศจีนและอินเดีย ทาง อภ. จะพิจารณาคัดเลือกว่าบริษัทใดมีมาตรฐานระดับไหน ตามที่เราต้องการ และเนื่องจาก อภ. อยู่ในวงการนี้มานาน จึงพอจะสกรีนได้ว่าโรงงานไหนมีมาตรฐาน และ อภ. สามารถจะดำเนินงานด้วยกันได้
“ในเบื้องต้นสำหรับช่วงปีแรก ๆ อภ. อาจจะเน้นการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศ เพราะต้องการจะร่นระยะเวลาในการวิจัยและพัฒนา แต่ในระยะต่อไปคาดว่าเราจะสามารถยืนได้ด้วยตัวเอง เพราะ อภ. ดำเนินกิจการมานานกว่า 50 ปี มีความเชี่ยวชาญระดับหนึ่งในด้านเทคโนโลยีในการผลิต เรามั่นใจว่าเราสามารถดำเนินการต่อไปในอนาคตได้”
กำลังการผลิตและความคุ้มทุน
สำหรับกำลังการผลิตของโรงงาน ในเบื้องต้นได้พิจารณากำลังการผลิตส่วนของยาเคมีบำบัด (chemotherapy) ประมาณ 30 ล้านยูนิตต่อปี และส่วนของยาชีววัตถุคล้ายคลึง (biosimilar) ประมาณ 2-3 แสนยูนิตต่อปี ปริมาณการผลิตยารักษาโรคมะเร็งจะไม่สูงมากนัก เนื่องจากยามีราคาแพงและเป็นยาเฉพาะกลุ่มผู้ป่วย อภ. ได้วางแผนที่จะผลิตยาชีววัตถุคล้ายคลึงชนิดแรกในปี 2571 โดย priority หลักของทาง อภ. คือ จะพยายามซัพพลายในประเทศให้คนไทยสามารถเข้าถึงยาได้ก่อน ซึ่งจากการศึกษา feasibitly เบื้องต้น กำลังการผลิตสามารถครอบคลุม (cover) ได้เพียงพอ สำหรับส่วนที่เป็น second priority ทางโรงงานสามารถขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งจะช่วยให้สามารถส่งออกเพื่อทำตลาดต่างประเทศต่อไป ทั้งนี้ เนื่องจากการผลิตยารักษาโรคมะเร็งหรือยาอะไรก็ตาม ราคายาจะขึ้นอยู่กับ economy of scale กล่าวคือ ถ้ามีการผลิตปริมาณน้อย ราคายาอาจจะแพง ถ้าเราผลิตได้ในปริมาณที่สูง เราคาดหวังว่าจะสามารถลดราคายาและส่งออกไปต่างประเทศได้ด้วย
ทั้งนี้ จากการศึกษาความคุ้มทุนของโครงการ ทาง อภ. พยายามมองทั้งความเป็นไปได้ (feasibility) ในประเทศและทั้งภูมิภาค โดยจากจำนวนพลเมืองในอาเซียน 500 ล้านคน น่าจะตอบโจทย์ของโครงการตรงนี้ได้
ตามแผนที่วางไว้โรงงานจะเสร็จเรียบร้อยและดำเนินการได้ในปี 2570 โดยส่วนของตัวโรงงานจะก่อเสร็จก่อนตั้งแต่ปี 2567 จากนั้นจะต้องมีกระบวนการในการขึ้นทะเบียนยาและพิสูจน์ประสิทธิผลของยา ซึ่งอาจจะใช้เวลาอีก 2-3 ปี อย่างไรก็ตาม อภ. จะพยายามเร่งช่วงระยะเวลาในการวิจัยและการขึ้นทะเบียนต่าง ๆ เพื่อจะได้เริ่มผลิตและมียาออกมาใช้ในประเทศให้เร็วที่สุด
ผลิตภัณฑ์ยาและสิทธิบัตร
ในการเลือกยาที่จะผลิต อภ. ได้ดำเนินการการศึกษาเรื่องสิทธิบัตร (patent) ของผลิตภัณฑ์ยา และมีสูตรสิทธิบัตรอยู่แล้ว โดยจะดูยาทุกรายการที่จะผลิตว่าหมดสิทธิบัตรเมื่อไร และจะเตรียมการวิจัยล่วงหน้า เพื่อที่จะให้เป็นผลิตภัณฑ์ first generic หรือหมดสิทธิบัตร และสามารถ lounge ยาออกได้ และเนื่องจากยาแต่ละรายการหมดสิทธิบัตรไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นจึงต้องมีการไล่ลำดับรายการยาใน pipeline ที่จะผลิตออกมา
การทำงานร่วมกับ ปตท.
ทาง อภ. กับ ปตท. จะทำงานร่วมกันในทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการออกแบบ การก่อสร้าง หรือเรื่องเทคโนโลยี ทีมงานของ อภ. จะไปทำงานร่วมกับทาง ปตท. ตลอดเวลา เพื่อให้ตัวโรงงานหรือกระบวนการผลิตเป็นไปตามที่ อภ. ต้องการ และสามารถดำเนินการผลิตได้ โดยในทุกขั้นตอนทั้ง 2 หน่วยงาน จะแชร์ข้อมูลร่วมกัน
“สำหรับขั้นตอนการออกแบบและก่อสร้าง ปตท. จะช่วยทางด้านวิศวกรรม แต่หลังจากที่โรงงานสามารถดำเนินการได้แล้ว บุคลากรของ อภ. จะเป็นผู้ดำเนินการในรายละเอียดของการผลิต ซึ่งเป็นหน้าที่ของ อภ.”
จากมูลค่าโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยารักษาโรคมะเร็งจำนวน 2,500 ล้านบาท จะครอบคลุมเฉพาะส่วนที่เป็นโรงงานผลิตยา หลังจากก่อสร้างเสร็จ ทาง อภ. จะรับผิดชอบการผลิต โดยจะใช้งบการดำเนินงานของ อภ. ในการผลิตต่อไป ส่วนการชำระเงินคืนให้กับ ปตท. กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาว่าจะมีการชำระเงินคืนอย่างไร และถ้ามีการชำระเงินครบตามจำนวน จะโอนโรงงานกลับมาให้เป็นของ อภ.
ลดนำเข้า-ประหยัดงบประมาณ
เมื่อพิจารณาถึงงบประมาณการนำเข้ายารักษาโรคมะเร็ง คาดว่าถ้ามีการผลิตยารักษาโรคมะเร็งในประเทศจะช่วยประหยัดงบประมาณการนำเข้าลงได้อย่างน้อยประมาณ 50% เพราะ อภ. ตั้งเป้าว่า การผลิตจะสามารถลดราคายาลงได้อย่างน้อย 50% และมีโอกาสที่ยาจะถูกลงกว่า 50% ในอนาคต เมื่อโรงงานมีการผลิตยาอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลต่อต้นทุนคงที่ (fixed cost) และต้นทุนผันแปร (variable cost) ต่าง ๆ เนื่องจากเราจะต้องจัดหาแหล่งวัตถุดิบเพิ่มขึ้น ทำให้สามารถมีอำนาจต่อรองกับบริษัทที่ อภ. ติดต่อซื้อวัตถุดิบด้วย จึงมีโอกาสที่ราคายาจะถูก
“ประเทศไทยยังไม่สามารถผลิตสารออกฤทธิ์ทางยา (Active Pharmaceutical Ingredient: API) หรือวัตถุดิบในการผลิตยาได้เอง จะต้องนำเข้าจากต่างประเทศ และการที่เราจะเพิ่มแหล่งวัตถุดิบ จะทำให้เกิดการแข่งขันมากขึ้น (ของผู้จำหน่ายวัตถุดิบ) และส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ของเรามีราคาที่ลดลง”
เน้นสถานพยาบาลภาครัฐ
เบื้องต้น อภ. จะซัพพลายยารักษาโรคมะเร็งให้กับกลุ่มรักษาพยาบาลที่เป็นภาครัฐบาล ได้แก่ กลุ่มหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ประกันสังคม (สปส.) และโรงพยาบาลของรัฐทั่วไป และจะมีกลุ่มสถานพยาบาลเอกชนเพิ่มเติมด้วย
การที่ยารักษาโรคมะเร็งหลาย ๆ รายการยังไม่เข้าบัญชียาหลัก เนื่องจากมีราคาแพง ถ้ายาที่ อภ. สามารถผลิตออกมาด้วยราคาที่ถูกลง ยาเหล่านี้จะมีโอกาสเข้าสู่บัญชียาหลักได้มากขึ้น และผู้ป่วยจะสามารถเบิกค่าใช้จ่ายตรงนี้ได้เพิ่มขึ้น
การผลิตยารักษาโรคมะเร็งตามโครงการนี้จะมาทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ โดยการนำเข้ายามาในบางครั้งอาจจะมีราคาสูง การที่เราสามารถผลิตได้เอง จะสามารถลดราคาลงมา และผู้ป่วยจะ เข้าถึงยาได้มากขึ้น