สปสช.ชวน รพ.และคลินิกเอกชนสมัครขึ้นทะเบียน 30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว

www.medi.co.th

สปสช. ชวน รพ.และคลินิกเอกชนในจังหวัดนำร่องนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว สมัครขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการในระบบเพื่อร่วมดูแลประชาชนไปด้วยกัน ชี้ สปสช. ปรับระบบขึ้นทะเบียนใหม่เป็น One Stop Service ลดภาระเอกสาร ลดระยะเวลาตรวจประเมินและประกาศขึ้นทะเบียนหน่วยบริการให้เร็วขึ้น


นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า หลังจากที่รัฐบาลเดินหน้านโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว โดยเปิดให้ประชาชนใช้บัตรประชาชนเข้ารับการรักษาได้ในสถานพยาบาลทุกเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชนในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งได้เริ่มตั้งแต่วันที่ 7 ม.ค. 2567 ใน 4 จังหวัดนำร่อง ประกอบด้วย แพร่ เพชรบุรี ร้อยเอ็ด และนราธิวาส และขณะนี้อยู่ระหว่างการขยายสู่ระยะที่ 2 อีก 8 จังหวัดซึ่งจะเริ่มในเดือนมีนาคม 2567 นี้ ได้แก่ นครราชสีมา นครสวรรค์ พังงา เพชรบูรณ์ สระแก้ว สิงห์บุรี หนองบัวลำภู อำนาจเจริญ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานดังกล่าว สปสช. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลสิทธิบัตรทอง จึงขอเชิญชวนสถานพยาบาลเอกชนประเภทต่างๆ รวมถึงร้านยา ในพื้นที่ 12 จังหวัดนี้ เข้ามาร่วมเป็นหน่วยบริการในระบบเพื่อดูแลประชาชนไปด้วยกัน

นพ.จเด็จ กล่าวอีกว่า หน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมีทั้งสถานพยาบาลของรัฐและเอกชน ในส่วนของสถานพยาบาลภาคเอกชนนั้น เปิดรับสมัครหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลเอกชน คลินิกเวชกรรม คลินิกการพยาบาล คลินิกทันตกรรม คลินิกกายภาพบำบัด คลินิกเทคนิคการแพทย์ คลินิกแพทย์แผนไทย และร้านยา เพื่อให้มีหน่วยบริการที่ครอบคลุมในทุกพื้นที่ ซึ่งจะทำให้ประชาชนสามารถเข้ารับบริการใกล้บ้านได้อย่างสะดวก


นพ.จเด็จ กล่าวต่อไปว่า เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายยกระดับหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่ประชาชนใช้บัตรประชาชนใบเดียวเข้ารับการรักษาได้ในสถานพยาบาลทุกเครือข่ายในระบบ สปสช. ยังได้ปรับปรุงระบบ back office อื่นๆ เช่น ระบบการรับสมัครและขึ้นทะเบียนหน่วยบริการในระบบ ได้ปรับให้เป็นแบบ One Stop Service ลดความยุ่งยากในเรื่องเอกสารต่างๆ ลดระยะเวลาในการตรวจประเมินและประกาศขึ้นทะเบียนหน่วยบริการ สร้างความสะดวกรวดเร็วแก่สถานพยาบาลและร้านยาที่มาสมัครขึ้นทะเบียนมากขึ้น


นพ.จเด็จ อธิบายว่า ในขั้นตอนแบบ One Stop Service นั้น จะอยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด จากเดิมที่หน่วยบริการต้องสแกนเอกสาร ทั้งแบบฟอร์มสมัคร ใบรับรองจากกรมพัฒนาการค้า ใบอนุญาตประกอบสถานพยาบาล ใบอนุญาตดำเนินการสถานพยาบาล ใบประกอบวิชาชีพ ก็เปลี่ยนเป็นการแจ้งความประสงค์ผ่านระบบ ThaID แล้ว สปสช. จะเชื่อมโยงข้อมูลไปยังหน่วยงานรับรองโดยตรง หรือการตรวจเอกสารที่ทำโดยเจ้าหน้าที่ก็จะเปลี่ยนเป็นการตรวจโดยโปรแกรม ทำให้ระยะเวลาการสมัครจนถึงขั้นประกาศขึ้นทะเบียนลดลงจาก 30 วัน เป็นไม่เกิน 3 วัน


ขณะเดียวกัน ในขั้นต่อไป สปสช. ได้พัฒนาระบบนิติกรรมสัญญา โดยเชื่อมโยงกับธนาคารเพื่อตรวจสอบความถูกต้องบัญชี และหลักประกันสัญญา และมีการจัดทำและลงนามสัญญาในระบบ การพัฒนาระบบฐานข้อมูลการขึ้นทะเบียน โดยปรับปรุงระบบฐานข้อมูลหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแบบอัตโนมัติ และการพัฒนาระบบข้อมูลพื้นฐานหน่วยบริการให้รองรับการนําไปใช้เพื่อการบริหารจัดการกองทุน รวมทั้งเปิดให้หน่วยบริการตรวจสอบและปรับปรุงข้อมูลของตนเองและ export ไปใช้งานได้อีกด้วย


“ในฝั่งการให้บริการ ทางกระทรวงสาธารณสุขกำลังพัฒนาระบบเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลให้ประชาชนสามารถไปรับบริการได้ทุกที่ ในฝั่งของการสนับสนุน สปสช. เราก็พยายามอำนวยความสะดวกแก่หน่วยบริการให้มากที่สุด ทั้งระบบการขึ้นทะเบียนที่สะดวกรวดเร็ว และพัฒนาระบบ new-eClaim ซึ่งจะอำนวยความสะดวกแก่หน่วยบริการในการเบิกเงิน รวมทั้งเวลาการจ่ายเงินค่าบริการให้หน่วยบริการภายใน 72 ชั่วโมงเพื่อให้มีกระแสเงินสดหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงขอเชิญชวนหน่วยบริการต่างๆในพื้นที่จังหวัดนำร่องนี้เข้ามาร่วมเป็นหน่วยบริการในระบบ สปสช.จะอำนวยความสะดวกแก่ท่านให้มากที่สุด” นพ.จเด็จ กล่าว


ทั้งนี้ปัจจุบัน มีหน่วยบริการเอกชนในจังหวัดนำร่องขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการในระบบกว่า 700 แห่ง โดยหน่วยบริการสามารถสมัครได้ที่ https://ossregister.nhso.go.th สอบถามเพิ่มเติม สายด่วน สปสช. 1330 กด 5 (provider center)