โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย พร้อมทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากสหสาขาวิชาชีพ แถลงข่าว “แสงแห่งความหวัง” โครงการรักษาพยาบาลด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูง เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยให้มีโอกาสเข้าถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับโรค สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างรวดเร็ว ร่วมถ่ายทอดเรื่องราวการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยผ่านนิทรรศการ ณ โถงกิจกรรม อาคารรัตนวิทยาพัฒน์ วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๗
นายเตช บุนนาค เลขาธิการสภากาชาดไทย กล่าวว่า ด้วยสภากาชาดไทย มีวิสัยทัศน์และพันธกิจที่มุ่งเน้นการส่งเสริมและช่วยเหลือประชาชนรวมถึงผู้ด้อยโอกาสด้วยจิตสาธารณะ สิ่งสำคัญยิ่งคือการให้บริการทางการแพทย์และการดูสุขภาพของประชาชน สำหรับโครงการเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยได้เข้าถึงการรักษาด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และสภากาชาดไทย มีความมุ่งมั่นตั้งใจให้บริการทางการแพทย์แบบครบวงจร โดยทีมคณะผู้บริหาร แพทย์ พยาบาล รวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์ทุกท่าน ได้ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลและให้บริการรักษาผู้ป่วยด้วยตลอดจนการคิดค้น การสร้างนวัตกรรมทางการแพทย์และการพยาบาลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการนำเครื่องมือที่ทันสมัยผนวกกับการสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ เพื่อนำไปใช้ในการดูแลรักษาสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยที่เข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ยาก ดังนั้นทางสภากาชาดไทยจึงได้สนับสนุนกิจกรรมอันเป็นประโยชน์มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลายเรื่องก็ได้นำไปใช้ในประเทศอื่นอย่างแพร่หลาย ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมหาศาลต่อประชาคมโลก
นับเป็นโอกาสอันดีที่ได้ร่วมถวายความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ จัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสให้กับประชาชนที่ประสบปัญหาโรคที่ซับซ้อน ให้ได้เข้าถึงกระบวนการรักษาด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย เป็นการช่วยเหลือประชาชนให้ได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียมตามหลักกาชาด
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ประชาชนที่ได้รับการรักษาจากโครงการฯ ดังกล่าว จะได้รับการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ลดภาวะแทรกซ้อนจากการนอนในโรงพยาบาลเป็นระยะเวลานาน ทำให้กลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างรวดเร็วและอยู่กับสังคมได้อย่างมีความสุขต่อไป
ทางด้าน รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย มีความสามารถทางการแพทย์และการรักษาพยาบาล เป็นโรงพยาบาลระดับตติยภูมิที่มีศักยภาพสูง สามารถให้การรักษาพยาบาลผู้ป่วยที่มีโรคซับซ้อนได้เป็นอย่างดี สำหรับในปีนี้ คณะผู้บริหาร แพทย์ พยาบาล บุคลากร ทีมสนับสนุนจากทุกสหสาขาวิชีพ อาทิ ฝ่ายรังสีวิทยา ฝ่ายศัลยศาสตร์ ฝ่ายออร์โธปิดิกส์ ฝ่ายจักษุวิทยา ได้ร่วมกันจัดทำโครงการรักษาพยาบาลด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูง จำนวน ๔ โครงการ ได้แก่
๑. โครงการรักษาโรคมะเร็งด้วยอนุภาคโปรตอน ดำเนินการรักษาผู้ป่วยจำนวน ๗๒ ราย
๒. โครงการผ่าตัดโรคเนื้องอกในช่องอกและช่องท้องด้วยหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด ดำเนินการรักษาผู้ป่วย จำนวน ๗๒ ราย
๓. โครงการผ่าตัดกระดูกสันหลังด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ดำเนินการรักษาผู้ป่วยจำนวน ๓๖ ราย
๔. โครงการตาดี ดำเนินการรักษาผู้ป่วยจำนวน ๓๖ ราย
ซึ่งโครงการดังกล่าวข้างต้นจึงเป็น “แสงแห่งความหวัง” เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการรักษาให้กับผู้ป่วยที่มีโรคซับซ้อนโดยไม่คิดมูลค่า เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย มุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้ผู้ป่วยได้รับผลประโยชน์สูงสุด เข้าถึงการรักษาด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูงที่มีศักยภาพ มีประสิทธิภาพ มีความทันสมัย มีความแม่นยำ ปลอดภัย และผลข้างเคียงต่ำ มาช่วยในกระบวนการรักษา ในเวลาที่เหมาะสมที่สุด ลดภาวะแทรกซ้อนจากการนอนที่โรงพยาบาลเป็นระยะเวลานาน ผู้ป่วยสามารถฟื้นตัวได้รวดเร็ว และกลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัวได้อย่างมีความสุขต่อไป
รศ.นพ.ชลเกียรติ ขอประเสริฐ หัวหน้าศูนย์โปรตอนสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สาขารังสีรักษาและมะเร็งวิทยา ฝ่ายรังสีวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย, นายกสมาคมรังสีรักษาและมะเร็งวิทยาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โครงการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการรักษาด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูง โดยมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย หรือ โครงการรักษาโรคมะเร็งด้วยอนุภาคโปรตอน ซึ่งศูนย์โปรตอนสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ได้ทำการติดตั้งเครื่องรักษาโรคมะเร็งด้วยอนุภาคโปรตอนเครื่องแรกของประเทศไทยและในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อดูแลรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งให้หายมีสุขภาพชีวิตที่ดี อนุภาคโปรตอนมีความแม่นยำสูงมากในการรักษาโรค
การรักษาด้วยอนุภาคโปรตอนจึงได้รับการยอมรับเป็นมาตรฐานอย่างยิ่งในผู้ป่วยมะเร็งในอวัยวะจุดที่สำคัญและมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการรักษาด้วยรังสีรุนแรง ได้แก่ มะเร็งบริเวณตา สมอง ฐานสมอง ไขสันหลัง ตับ โพรงอากาศข้างจมูก เส้นประสาทสมอง หลังเยื่อบุช่องท้อง มะเร็งศีรษะและลำคอที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ มะเร็งเด็ก มะเร็งในผู้ป่วยที่มีความบกพร่องเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนจากรังสี และมะเร็งที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยรังสีซ้ำเป็นครั้งที่สอง การฉายรังสีแบบปกติ(รังสีเอ็กซ์)ในผู้ป่วยกลุ่มนี้ อาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง ทำให้แพทย์รังสีรักษาจะต้องลดปริมาณรังสีในผู้ป่วยกลุ่มนี้ ซึ่งอาจส่งผลให้อัตราการรอดชีวิตน้อยลงเนื่องจากปริมาณรังสีต่ำไปจนไม่สามารถควบคุมโรคได้
การรักษาด้วยอนุภาคโปรตอนที่มีความแม่นยำสูงสามารถป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและไม่ต้องลดปริมาณรังสี ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีโอกาสหายจากโรคมากขึ้น ถึงแม้ว่าการรักษาด้วยอนุภาคโปรตอนยังคงมีค่าใช้จ่ายที่สูงทำให้ผู้ป่วยมะเร็งที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยอนุภาคโปรตอนหลายรายไม่สามารถเข้าถึงการรักษาได้ ดังนั้น เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการรักษาด้วยอนุภาคโปรตอนสำหรับผู้ป่วยมะเร็งในอวัยวะสำคัญและมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการรักษาด้วยรังสีรุนแรง การเปิดโครงการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการรักษานี้ จำนวน ๗๒ ราย จะช่วยทำให้ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงและซับซ้อน ผู้ป่วยที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ สามารถข้าถึงการรักษาในโครงการฯ นี้ได้
รศ.นพ.กมล ภานุมาตรัศมี ฝ่ายศัลยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคเนื้องอกในช่องอกและช่องท้องจำนวนมากในหน่วยศัลยศาสตร์ทั่วไป ศัลยศาสตร์ทรวงอก ศัลยศาสตร์ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ศัลยศาสตร์ยูโรระบบทางเดินปัสสาวะที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด โดยผู้ป่วยส่วนมากจะเข้ารับการผ่าตัดด้วยวิธีแบบเปิด และการผ่าตัดแบบส่องกล้อง เพราะไม่สามารถเข้าถึงการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดได้เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่สูง
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านหน่วยศัลยศาสตร์ทั่วไป ศัลยศาสตร์ทรวงอก ศัลยศาสตร์ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ศัลยศาสตร์ยูโรระบบทางเดินปัสสาวะ ร่วมกันดำเนิน โครงการผ่าตัดโรคเนื้องอกในช่องอกและช่องท้องด้วยหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด รักษาผู้ป่วยจำนวน ๗๒ ราย เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาด้วยหุ่นยนต์ผ่าตัด ในการรักษาโรคเนื้องอกในช่องอกและช่องท้องที่มีความจำเป็นต้องผ่าตัด ซึ่งการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงสำหรับการผ่าตัดแบบแผลเล็ก ให้ผลการรักษาที่ดีมาก เสียเลือดน้อย มีภาวะแทรกซ้อนต่ำ ผู้ป่วยจึงฟื้นตัวหลังผ่าตัดได้เร็วขึ้น
เครื่องมือที่ใช้เป็นหุ่นยนต์ผ่าตัดที่ทันสมัย สามารถเคลื่อนที่ได้อิสระมากกว่าและครบทุกทิศทาง การผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์เป็นภาพสี่มิติที่มีความละเอียดมีกำลังขยายสูง และระบุจุดได้อย่างชัดเจน สามารถเห็นในสิ่งที่สายตาปกติมองไม่เห็น จึงทำให้การผ่าตัดเป็นไปได้อย่างแม่นยำ มีประสิทธิภาพและผลลัพธ์ดีกว่าการผ่าตัดแบบส่องกล้อง แต่มีข้อเสียคือ ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้ยาก ทีมแพทย์จึงเลือกวิธีการผ่าตัดชนิดนี้เพื่อเปิดโอกาสให้กับประชาชนที่จำเป็นต้องใช้หุ่นยนต์ผ่าตัดเข้าช่วยรักษาโรคที่ซับซ้อนต่อไป
รศ.นพ.วิชาญ ยิ่งศักดิ์มงคล หัวหน้าฝ่ายออร์โธปิดิกส์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า ปัจจุบันการผ่าตัดกระดูกสันหลังมีมากขึ้นในกลุ่มผู้ป่วยสูงอายุที่มีภาวะกดทับเส้นประสาทจากการเสื่อมของกระดูกสันหลัง และผู้ป่วยสูงอายุมักจะมีโรคประจำตัวมาก รวมถึงมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด การใช้เทคโนโลยีการผ่าตัดกระดูกสันหลังแบบเจาะรูแผลเล็กจึงมีบทบาทเพื่อลดการบาดเจ็บต่อกล้ามเนื้อ ลดการเสียเลือด ลดเวลาการผ่าตัด และลดเวลาพักฟื้นของผู้ป่วย ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้ป่วยเอง
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย มีความพร้อมในการให้บริการผู้ป่วยด้วยการผ่าตัดกระดูกสันหลังแบบเจาะรูแผลเล็กในทุกรูปแบบ อีกทั้งมีเทคโนโลยีขั้นสูง ได้แก่ Endoscopic surgery, Navigation assisted spine surgery, Robotic assisted spine surgery เป็นต้น ซึ่งวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการผ่าตัดโดยวิธีนี้ในปัจจุบันยังมีราคาแพง และผู้ป่วยที่รักษาด้วยวิธีการนี้จะมีส่วนเกินสิทธิ์รักษาขั้นพื้นฐาน ทำให้ผู้ป่วยบางรายไม่สามารถเข้าถึงการรักษาวิธีนี้ได้
ฉะนั้น เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการรักษาการผ่าตัดกระดูกสันหลังแบบเจาะรูแผลเล็กด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงที่มีความแม่นยำ ปลอดภัย บาดเจ็บน้อยและฟื้นตัวได้เร็ว สามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติได้เร็วขึ้น จึงได้ร่วมกับทีมแพทย์อีกหลายท่าน ดำเนินโครงการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการรักษาด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูง โดยมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยผ่าน โครงการผ่าตัดกระดูกสันหลังด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ให้การรักษากับผู้ป่วยจำนวน ๓๖ ราย
รศ.(พิเศษ)พญ.อุษณีย์ เหรียญประยูร หัวหน้าโครงการตาดี ฝ่ายจักษุวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า ฝ่ายจักษุวิทยามีเป้าประสงค์ที่ต้องการรักษาผู้ป่วยโรคกระจกตาพิการ ที่ต้องรอคอยกระจกตาบริจาคเป็นระยะเวลานาน ประสพปัญหาการขาดแคลนกระจกตาบริจาค การเปิดโครงการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการรักษาด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูง โดยมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย “โครงการตาดี” ซึ่งจะช่วยให้กลุ่มผู้ป่วยโรคกระจกตาพิการที่มีโอกาสเข้าถึงการรักษาได้ยากและติดปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย ได้มีโอกาสเข้าถึงการรักษาโรคกระจกคาพิการด้วยการผ่าตัดปลูกถ่ายกระจกตา, การรักษาโรคกระจกตาพิการด้วยการผ่าตัดปลูกถ่ายกระจกตาเทียม และการผ่าตัดใส่วงแหวนเพื่อปรับรูปร่างกระจกตา “โครงการตาดี” จะทำให้ผู้ป่วยโรคกระจกตาพิการจำนวน ๓๖ ราย ได้มีโอกาสเข้าถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ทันสมัย และเท่าเทียมกันกับผู้ป่วยรายอื่นๆ ลดระยะการรอคอยกระจกตาบริจาค ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมและรวดเร็ว เป็นต้น