ศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย เผยมียอดผู้ป่วยรอการปลูกถ่ายอวัยวะเพิ่มมากขึ้นทุกปี พร้อมเดินหน้าจัดงาน “Give LIFE Get LIVES: สร้างกุศลผู้ให้ สร้างชีวิตใหม่ผู้รับ” เนื่องในวันบริจาคอวัยวะโลก (World Organ Donation day) เชิญชวนบริจาคอวัยวะ 1 ผู้ให้ช่วยได้ 8 ชีวิต
ศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย ร่วมกับสมาคมปลูกถ่ายอวัยวะแห่งประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุข ชี้ยอดผู้ป่วยรอปลูกถ่ายอวัยวะเพิ่มมากขึ้นทุกปี ขณะที่มีผู้บริจาคจำนวนน้อยอยู่ โดยเฉพาะโรคไตครองแชมป์รออวัยวะอันดับ 1 พร้อมรับเดือนแห่งการบริจาคอวัยวะโลก เตรียมจัดงาน World Transplant Month 2024 เพื่อเชิญชวนบริจาคอวัยวะและอุทิศร่างกาย ในวันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม 2567 เวลา 14.00 -18.00 น. ณ โซน Eden ชั้น 3 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
รศ.นพ.สุภนิติ์ นิวาตวงศ์ รองผู้อำนวยการ ศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย กล่าวว่า วันที่ 13 สิงหาคม ของทุกปี เป็นวัน World Organ Donation Day โดยมีจุดมุ่งหมายให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของการบริจาคอวัยวะและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการบริจาคอวัยวะ ปัจจุบันมีผู้ป่วยที่รอคอยการการบริจาคอวัยวะ ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2567 มากถึง 7,133 ราย โดย 95 เปอร์เซ็นต์ เป็นผู้ป่วยที่รอ “ไต” มีจำนวนมากถึง 6,619 ราย ซึ่งถือเป็นอวัยวะที่ขาดแคลนที่สุด รองลงมา คือ ตับ หัวใจ ปอด และตับอ่อน ขณะเดียวกันมีผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะแล้วเพียง 465 ราย และทุกๆสัปดาห์จะมีผู้เสียชีวิต 2 รายจากการรอปลูกถ่ายอวัยวะ และมีแนวโน้มจำนวน ผู้รอรับอวัยวะเพิ่มขึ้น แม้ว่า 1 ผู้บริจาคจะสามารถบริจาคอวัยวะและเนื้อเยื่อเพื่อนำไปปลูกถ่ายอาจนำไปช่วยเหลือชีวิตคนได้ 8-9 ชีวิต
ศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย จึงได้ร่วมกับสมาคมปลูกถ่ายอวัยวะแห่งประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุของค์กรสมาชิกทั้งภาครัฐและเอกชนเตรียมจัดงาน World Transplant Month 2024 ในวันที่ 30 สิงหาคมศกนี้ ภายใต้แคมเปญ “Give LIFE Get LIVES: สร้างกุศลผู้ให้ สร้างชีวิตใหม่ผู้รับ” ตั้งแต่เวลา 14.00 -18.00 น. ณ โซน Eden ชั้น 3 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ โดยการจัดกิจกรรมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเชิญชวนผู้ที่สนใจสามารถแสดงความจำนงบริจาคได้ทั้ง 2 ประเภท คือ 1.บริจาคอวัยวะและดวงตาเพื่อนำไปปลูกถ่ายให้ผู้ป่วยและ 2.บริจาคอุทิศร่างกายเพื่อการศึกษา รวมทั้งให้ความรู้เรื่องการบริจาคอวัยวะ เพราะหลายคนยังคงเชื่อว่าถ้าบริจาคอวัยวะแล้วชาติหน้าจะเกิดมามีอวัยวะไม่ครบ แต่หากเรามองข้ามผ่านความเชื่อดังกล่าวและดูข้อเท็จจริงที่แสดงให้เห็นประโยชน์ของการบริจาคอวัยวะแล้วจะพบว่า การบริจาคอวัยวะโดยผู้บริจาคเพียงหนึ่งราย สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้สูงสุดถึง รวมถึงส่งผลให้ผู้ป่วยมีสุขภาพกายที่ดีและอายุยืนยาวขึ้นได้
รศ.นพ.สุภนิติ์ กล่าวว่า จากภาวะการขาดแคลนอวัยวะในประเทศไทย แม้ว่าจะมีผู้แสดงความจำนงบริจาคอวัยวะกว่าปีละ 50,000 ราย แต่ส่วนใหญ่การเสียชีวิตมิใช่เกิดจากสมองตาย หรือมีข้อห้ามของการบริจาคอวัยวะเช่น เสียชีวิตหัวใจหยุดเต้นหรือมีการติดเชื้อ อวัยวะได้รับบาดเจ็บทำให้ไม่สามารถนำอวัยวะไปใช้ปลูกถ่ายได้ รวมทั้งปัญหาอวัยวะที่นำไปปลูกถ่ายหรือทำงานได้ไม่ดี เข้ากันไม่ได้กับร่างกายของผู้รับ เนื่องจากอายุของผู้บริจาค, ขนาดของอวัยวะ, การทำงานของอวัยวะ, ระยะเวลาขาดเลือดของอวัยว ะและความแตกต่างของเนื้อเยื่อเป็นต้น
โดยอวัยวะที่นำมาปลูกถ่ายให้ผู้ป่วยได้มาจากผู้บริจาค 2 กลุ่ม เท่านั้น ได้แก่ กลุ่มที่หนึ่งผู้บริจาคที่มีชีวิต ได้แก่ ไตและตับ ผู้บริจาคกลุ่มนี้ต้องเป็นญาติโดยสายโลหิตหรือเป็นสามีภรรยาที่อยู่กินกันเปิดเผยอย่างน้อย 3 ปีเท่านั้นหากผู้รอรับอวัยวะไม่มีญาติที่สามารถบริจาคอวัยวะให้กันได้ เช่น หมู่เลือดหรือเนื้อเยื่อเข้ากันไม่ได้ ผู้บริจาคมีสุขภาพไม่สมบูรณ์ ฯลฯ จึงต้องรออวัยวะจากผู้บริจาคเท่านั้น
กลุ่มที่สอง คือผู้บริจาคที่เสียชีวิตจากภาวะสมองตาย ซึ่งสามารถบริจาคได้ทุกอวัยวะได้แก่ หัวใจ ปอด ตับ ไต ตับอ่อน และลำไส้เล็ก แพทย์ต้องวินิจฉัยว่ามีภาวะก้านสมองตาย และญาติลงนามยินยอมบริจาคอวัยวะ ซึ่งอวัยวะ ที่ปลูกถ่ายได้ ได้แก่ ไต 2 ข้าง, ปอด 2 ข้าง, หัวใจ, ตับ ตับอ่อน และลำไส้เล็ก นอกจากนี้ยังมีเนื้อเยื่อที่ปลูกถ่ายได้ ได้แก่ กระจกตา, ลิ้นหัวใจ, หลอดเลือด, ผิวหนัง, กระดูกและเส้นเอ็น
คุณสมบัติของผู้บริจาคอวัยวะ ดังนี้ 1. อายุไม่เกิน 65 ปี 2. เสียชีวิตจากสภาวะสมองตายด้วยสาเหตุต่าง ๆ 3.ปราศจากโรคติดเชื้อรุนแรง และโรคมะเร็ง 4.ไม่เป็นโรคเรื้อรังซึ่งทำให้อวัยวะเสื่อม เช่น เบาหวาน, หัวใจ, โรคไต, ความดันโลหิตสูง, โรคตับ และไม่ติดสุรา 5. อวัยวะที่จะนำไปปลูกถ่ายต้องทำงานได้ดี 6.ปราศจากเชื้อโรคซึ่งอาจจะถ่ายทอดทางการปลูกถ่ายอวัยวะ เช่น ไวรัสตับอักเสบชนิดบี หรือซี ไวรัสโรคเอดส์ ฯลฯ
“การบริจาคอวัยวะไม่ทำให้เราตาย แต่ความตายทำให้เกิดการบริจาคอวัยวะ ก่อนที่เราจะบริจาคอวัยวะได้นั้น เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าร่างกายของคนเราจะเริ่มมีความเสื่อมเมื่ออายุ 30 ปีขึ้นไป ทุก ๆ 1 ปี ร่างกายจะมีความเสื่อมลงไป 1 % อวัยวะของคนเปรียบเสมือนเครื่องยนต์ ยิ่งใช้ไปนานเท่าไหร่ความเสื่อม ดังนั้นอวัยวะของหนุ่มสาวจึงเป็นอวัยวะทีมีคุณภาพที่ดีทีสุด ทางศูนย์ฯ จะรับแค่เพียงอายุสูงสุด 65 ปีเท่านั้น ส่วนหัวใจ 45 ปี ถ้าอายุมากกว่านั้นอวัยวะที่ได้รับบริจาคจะไม่คุ้มค่าแก่การปลูกถ่าย อย่างไรก็ดีการบริจาคอวัยวะถือเป็นการสร้างประโยชน์และความสุขอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เป็นการให้ชีวิตใหม่ให้ผู้ป่วยได้กลับคืนสู่สังคมด้วยคุณภาพชีวิตที่ดี อีกทั้งยังมีโอกาสได้สร้างประโยชน์ให้กับสังคมต่อไป ” รศ.นพ.สุภนิติ์ กล่าว
ทั้งนี้ภายในงาน “World Transplant Month 2024” ได้รับเกียรติจากนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดงาน พบกับกิจกรรม เสวนาพูดคุยกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการปลูกถ่ายอวัยวะ นอกจากนี้ยังมีคุณแพรรี่ ไพรวัลย์ มาพูดคุยเกี่ยวกับการบริจาคอวัยวะ และความเชื่อที่ไม่ถูกต้องต่างๆ เกี่ยวกับการบริจาคอวัยวะ และมินิคอนเสิร์ต จากศิลปิน “แว่นใหญ่” ครั้งแรกกับการเปิดตัว MV เพลง “รักของเธอคือของขวัญ” ขับร้องและแต่ง โดย ศิลปิน แว่นใหญ่-โอฬาร ชูใจ จากแรงบันดาลใจเรื่องจริงของผู้ป่วยที่รอปลูกถ่ายอวัยวะนานถึง 4 ปี และได้รับโอกาสจากผู้บริจาคที่แสดงความจำนงบริจาคอวัยวะต่อชีวิตใหม่ให้อีกครั้ง / youtube https://youtu.be/1hIDIGlEBdc
พร้อมด้วยดารานักแสดงชื่อดังร่วมงาน อาทิ คุณแอน ทองประสม, คุณพลอย เฌอมาลย์, คุณ เต้ย จรินทร์พรและคุณคริส หอวัง ดารานักแสดงชื่อดังที่ได้แสดงความจำนงบริจาคอวัยวะแล้ว และเสวนาพูดคุยกับ “ผู้ให้” “ผู้รับ” และ “ผู้รอ” เกี่ยวกับการบริจาคอวัยวะ และมีการจัดกิจกรรม “Give for GIFTS” ผู้ที่แสดงเจตจำนงบริจาคอวัยวะรับสิทธิ์ร่วมลุ้นรับของรักของดาราชื่อดังแบบ Exclusive สุดๆ และทุกๆ 1 การแสดงเจตจำนงในการบริจาคอวัยวะมีสิทธิ์ลุ้นรับพวงกุญแจ Pop Bean พิเศษ จำกัดเพียง 400 ท่านแรกเท่านั้น (หลังบริจาคจะได้รับ 1 Token เพื่อไปเล่นเกมเพื่อลุ้นรับ พวงกุญแจ Pop Bean อีกที) ทั้งนี้ กิจกรรมนี้สำหรับผู้ที่ร่วมกิจกรรมภายในวันงานอีเว้นท์เท่านั้น และสำหรับผู้ที่ลงทะเบียนมาผ่านช่องทางออนไลน์ มีสิทธิ์ลุ้นรับพวงกุญแจ Pop Bean เช่นกัน จำนวน 300 ชิ้น ซึ่งคาดว่ากิจกรรมดังกล่าวจะสามารถเชิญชวนผู้ร่วมงานร่วมกันแสดงความจำนงบริจาคอวัยวะได้จำนวนมากตามเป้าหมายจำนวน 5,000 รายภายใน 1 เดือน