สภาองค์กรของผู้บริโภค เปิดสถานการณ์ร้องเรียน “เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตมีสิทธิทุกที่” (UCEP) 3 ปี มีเรื่องร้องเรียนเกือบ 2 พันกรณี ทั้งถูกเรียกเก็บเงิน ค่ารักษาแพงเกินจริง รวมมูลค่าความเสียหาย 21 ล้านบาท ขณะที่สถิติสายด่วน สปสช. 1330 มีกรณี UCEP อยู่ที่ 80 ราย/วัน ส่วนใหญ่เป็นหาเตียงรองรับหลัง 72 ชม. ขณะที่เวทีอภิปราย “พัฒนาบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติมีสิทธิทุกที่” ญาติผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต เผยเหตุการณ์ถูก รพ. ให้เซ็นปฏิเสธใช้สิทธิ UCEP และเซ็นรับสภาพหนี้ และในเวทีร่วมนำเสนอข้อเสนอแนะสู่การพัฒนาระบบ ทั้งเพิ่มการรับรู้สิทธิและกลไกการใช้สิทธิแก่ประชาชน พร้อมทบทวนอัตราจ่ายชดเชยค่าบริการให้สอดคล้องสถานการณ์ปัจจุบัน และบังคับโทษทางอาญาแก่โรงพยาบาลที่ปฏิเสธการใช้สิทธิ UCEP
น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวถึงสถานการณ์ร้องเรียนด้านสุขภาพ ผ่านองค์กรของผู้บริโภค ในเวทีอภิปรายเรื่อง “ข้อเสนอเพื่อพัฒนาบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติมีสิทธิทุกที่ (UCEP)” ผ่าน Facebook Live เมื่อวันที่ 25 ก.ย. 2567 ที่ผ่านมาว่า จากข้อมูลระหว่างเดือน ต.ค. 2564 - ก.ย. 2567 มีเรื่องร้องเรียนทั้งสิ้น 2,662 กรณี เป็นสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) จำนวนร้อยละ 68.33 ประกันสังคมร้อยละ 8.98 ข้าราชการ ร้อยละ 1.69 ชำระเงินเอง/ประกันสุขภาพเอกชน ร้อยละ 6.91 ไม่ระบุสิทธิร้อยละ 7.89 และเฉพาะกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน 3 กองทุนสุขภาพ มีปัญหา 1,963 กรณี ทั้งขอคำปรึกษา ตรวจสอบสถานะ ไม่ได้รับความสะดวกจากการรับบริการ ถูกเรียกเก็บเงิน ค่ารักษาพยาบาลแพงเกินจริง ได้รับความเสียหายจากการรักษาพยาบาล ไม่ได้รับการส่งต่อ ฯลฯ รวมมูลค่าความเสียหาย ประมาณ 21 ล้านบาท
ทั้งนี้ มีข้อเสนอการปรับปรุงโครงการ UCEP ใน 3 ประเด็น ประกอบด้วย 1.เสนอสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน (สพฉ.) ว่า การพิจารณาให้สิทธิ UCEP ไม่ควรยึดเฉพาะผู้ป่วยสีแดงเพียงอย่างเดียว เพราะสีเหลือง สีส้ม หรือแม้แต่สีเขียว อาการก็ทรุดจนเป็นสีแดงได้ ขณะเดียวกันการวินิจฉัยควรยึดคนไข้หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงหน้างาน และควรวินิจฉัยทุกรายและการวินิจฉัยว่าฉุกเฉิน ควรรวมเรื่องอุบัติเหตุเข้าไปด้วย เพราะผู้ป่วยจากอุบัติเหตุมักถูกนำส่งโดยรถฉุกเฉิน ไม่ได้เลือก รพ.เอง และส่วนหนึ่งก็ถูกนำส่งที่ รพ.เอกชนซึ่งมีค่ารักษาแพงมาก
2. เสนอกรมการค้าภายในกำกับราคาค่าบริการ รพ.เอกชน เพราะ UCEP ใช้อัตราจ่ายตามจริง สปสช. แต่พอถูกวินิจฉัยว่าไม่ใช่ฉุกเฉิน มักถูกเรียกเก็บเงินสดตามอัตราของ รพ. ดังนั้นเสนอให้เรียกเก็บในอัตราของ UCEP แม้จะถูกวินิจฉัยว่าไม่เข้าข่ายอาการฉุกเฉินก็ตาม
3. เสนอกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กำกับคุณภาพการให้บริการของ รพ.เอกชน เช่น ถ้าเข้าข่ายอาการฉุกเฉิน แต่ถูกเรียกเก็บเงินหรือปฏิเสธการรักษา สบส. ควรมีมาตรการตรวจสอบทุกราย และรายงานชื่อ รพ.ที่เรียกเก็บเงินในเว็บไซต์ของ สบส.
นายปรานต์อธิป ถังกุล นิติกรชำนาญการพิเศษ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กล่าวว่า กรณีผู้ป่วยถูก pre-authorized ว่าเข้าข่ายฉุกเฉิน แล้วถูก รพ.ให้เซ็นหนังสือสละสิทธิการใช้สิทธิ UCEP ศาลพิพากษาศาลฎีกาที่ 4791/2546 เคยวินิจฉัยว่า เป็นการกระทำที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ข้อตกลงดังกล่าวถือเป็นโมฆะ ขณะเดียวกันจากตัวเลขปี 2566 มีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับ UCEP ค่อนข้างมาก และ สบส. ได้ดำเนินคดีทั้งอาญาและคดีปกครอง โดยปัจจุบันมีคดีในชั้นศาลปกครองประมาณ 40 คดี ส่วนข้อเสนอการปรับปรุงการดำเนินการนั้น ตนเห็นว่า 1. เสนอให้เพิ่มอัตราจ่ายกรณี UCEP ให้มากขึ้น เพราะเท่าที่ได้รับเสียงสะท้อนมา อัตราจ่ายของ UCEP อยู่ที่ 40-50% ของค่าใช้จ่ายจริง และ 2. แก้ไขระบบการส่งตัวหลังจากพ้นวิกฤต เพราะสิทธิบัตรทองและสิทธิข้าราชการหา รพ.รับส่งต่อค่อนข้างยาก
นาวาเอก (พิเศษ) นพ.พิสิทธิ์ เจริญยิ่ง รองเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า ตนคิดว่าต้องสร้างสมดุลระหว่างผู้รับบริการและผู้ให้บริการ เพราะ สพฉ. มักได้รับเสียงสะท้อนว่าต้องรีวิววิธีการประเมินอาการเพื่อบ่งชี้ว่าเป็นอาการฉุกเฉินที่กว้างขวางมากขึ้นเพื่อรักษาสิทธิของผู้ป่วย ขณะเดียวกันก็มีเสียงสะท้อนว่าอยากให้เกณฑ์การประเมินมีความจำเพราะเจาะจงมากขึ้น เพื่อรักษาต้นทุนของโรงพยาบาลและเพื่อความยั่งยืนของโครงการ ขณะเดียวกันว่าในมุมประชาชนต้องรู้สิทธิตนเองและที่สำคัญคือต้องรู้กลไกเข้าถึงสิทธิ เช่น สายด่วน 1669 และระบบปฏิบัติการฉุกเฉินนอก รพ.มีความสำคัญมาก เพราะมาถึงแล้วทำการรักษาทันทีหรือให้คำแนะนำเบื้องต้นได้ ซึ่งเป็นประโยชน์กว่าการเดินทางไป รพ. เอง ที่สำคัญหน่วยหน้างานสามารถเลือก รพ. ที่เหมาะสมกับอาการเจ็บป่วยได้โดยการประเมินของเจ้าหน้าที่ นอกจากนี้ในเชิงการจัดการคิดว่า ถ้าขยายเกณฑ์ประเมินเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงระบบ UCEP มากขึ้น จะเป็นประโยชน์กับประชาชนแน่นอน ขณะเดียวกันต้องทำให้โครงการดำเนินต่อได้ โดยมีอัตราจ่ายที่ รพ.เอกชนยอมรับ ซึ่งหากสร้างเกณฑ์ที่ทำให้เกิดความสมดุลได้ จะทำให้โครงการนี้ดำเนินการต่อไปได้
น.ส.ฌิชาภัทร ขัตติวงค์ นักวิชาการแรงงานชำนาญการ สำนักงานประกันสังคม (สปส.) กล่าวว่า ปัญหาที่ผู้ประกันตนพบเมื่อไปรับบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินคือถูกให้เซ็นยินยอมไม่ใช้สิทธิ UCEP หรือให้จ่ายเงินเอง ถ้าไม่เซ็นก็จะไม่ได้รับการรักษาขั้นถัดไป ซึ่ง สปส. มีสำนักจัดระบบบริการทางการแพทย์ที่คอยประสานสิทธิกับสถานพยาบาลให้ โดยตรวจสอบข้อเท็จจริงกับสถานพยาบาล ถ้าไกล่เกลี่ยได้ก็ให้คืนเงิน แต่ถ้าไกล่เกลี่ยไม่ได้ ก็จะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการว่าสถานพยาบาลนั้นทำผิดกฎหมายหรือไม่
อย่างไรก็ดี มีข้อเสนอปรับปรุงการดำเนินนโยบาย UCEP อยากให้เน้นการสร้างการรับรู้ ทั้งสถานพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์และผู้รับบริการว่าแนวทางปฏิบัติเป็นอย่างไร บทกำหนดโทษจะเป็นอย่างไร เพื่อให้สถานพยาบาลตระหนักว่า นโยบายนี้มีความจำเป็นและสามารถดำเนินการไปในทิศทางเดียวกัน
น.ส.ดวงนภา พิเชษฐ์กุล ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า จากสถิติของสายด่วน 1330 มีกรณี UCEP ประมาณ 80 รายต่อวัน โดยเมื่อ รพ.เอกชนทำการประเมินว่าอาการเจ็บป่วยเข้าข่ายฉุกเฉินหรือไม่ ถ้าเป็นสิทธิบัตรทอง ข้อมูลจะเชื่อมโยงมาที่ 1330 ซึ่งจะมีการตรวจสอบกับผู้ป่วยว่าสามารถใช้สิทธิ UCEP ได้หรือไม่ และประสานหาเตียงให้ผู้ป่วยต่อไป สำหรับปัญหาการดำเนินงานที่พบ คือหลัง 72 ชม. ไปแล้ว ต้องมีการหาเตียง ICU มารับช่วงดูแลผู้ป่วยต่อและมักมีเตียงไม่พอ สปสช. ใช้วิธีการเจรจาให้ผู้ป่วยนอนรักษาต่อที่ รพ. เดิมโดยจ่ายตามเกณฑ์ที่ UCEP กำหนด โดยร้อยละ 80 สามารถเจรจาได้ ส่วนอีกร้อยละ 20 จะส่งไปยัง รพ. ที่ผู้ป่วยลงทะเบียนสิทธิไว้
ส่วนข้อเสนอปรับปรุงนโยบาย UCEP นั้น 1.สร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการนี้ ทั้งผู้ให้บริการและผู้รับบริการ เพราะยังมีประชาชนอีกจำนวนมากที่ไม่ทราบสิทธินี้ และ 2. สนับสนุนการใช้บริการ 1669 เพราะจะได้รับการช่วยเหลือเบื้องต้นและประเมินส่ง รพ.ที่มีศักยภาพสอดคล้องกับอาการได้ แต่ไม่สนับสนุนให้ตรวจสอบสิทธิในรถฉุกเฉิน เพราะอยากให้เข้าใจตรงกันว่าการช่วยชีวิตคนไข้สิ่งสำคัญอันดับแรก หลังจากนั้นค่อยมาเคลียร์ค่าใช้จ่ายกัน และ 3.ทบทวนอัตราจ่าย เพราะเป็นอัตราตั้งแต่ปี 2560 ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่จะทบทวนอัตราจ่ายสอดคล้องกับเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่เปลี่ยนแปลง และ 4.ทุกกองทุนสุขภาพและ สบส. ควรประชุมร่วมกันเพื่อทบทวนว่ายังมีปัญหาใดในการดำเนินงานเพื่อปรับแก้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
นพ.ขวัญประชา เชียงไชยสกุลไทย นักวิจัยด้านกลไกการจ่ายกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน กล่าวว่า การศึกษาข้อมูลบัญชีที่ รพ.เอกชนส่งให้กระทรวงพาณิชย์ พบว่า รพ.เอกชนมีกำไรปีละประมาณร้อยละ 15 ส่วนอัตราจ่ายชดเชยของ UCEP เป็นอัตราที่ Add-on จากอัตราจ่ายของกรมบัญชีกลางอีกร้อยละ 15 ดังนั้น เป็นเรื่องจริงหรือไม่ถ้าจะบอกว่าจ่ายชดเชย รพ.เอกชนน้อยไป ขณะเดียวกันก็มีประเด็นมายาคติหลายเรื่อง เช่น รพ.เอกชนมักบอกว่าต้นทุนค่ายาแพงกว่าที่ รพ.รัฐซื้อ แต่จากข้อมูลจากกรมการค้าภายใน พบว่าราคายาที่เอกชนจัดซื้อไม่แตกต่างจากราคาที่ รพ.รัฐจัดซื้อ แต่เวลาเรียกเก็บค่ายากับประชาชนก็มีช่องว่างขนาดใหญ่ที่เป็นโจทย์ให้กรมการค้าภายในว่าจะควบคุมราคายาที่เรียกเก็บจากประชาชนอย่างไร หรือเรื่องค่าธรรมเนียมแพทย์ซึ่งกำหนดโดยแพทยสภา รพ.เอกชนมักบอกว่าเก็บมาแล้วจ่ายให้แพทย์โดยตรง ไม่มีกำไรจากส่วนนี้ แต่จากข้อมูลย้อนหลัง 7 ปี ค่าธรรมเนียมแพทย์กลับเพิ่มขึ้นมาถึงร้อยละ 50% ในทุกรายการ เป็นการผลักภาระแก่ประชาชนในที่สุด
นพ.ขวัญประชา กล่าวอีกว่า เห็นด้วยกับการสร้างสมดุลไม่ให้ รพ.เอกชนรับภาระจนเกินไป แต่ยืนยันว่าอัตราจ่ายของ UCEP ขณะนี้ ไม่ได้ทำให้ รพ.เอกชนขาดทุน แต่ก็ไม่กำไร ส่วนประเด็นสำคัญของ UCEP ไม่ใช่ รพ.เอกชนไม่อยากให้บริการ แต่คิดว่าเป็นเรื่องของการรู้ไม่เท่ากันระหว่างผู้ให้บริการและผู้รับบริการ
“ประเด็นนี้ต้องทำความเข้าใจให้ตรงกัน เพราะ รพ.เอกชนพยายามผลักว่าคุ้มครองจนพ้นภาวะวิกฤต แล้วจะเก็บเงินหลังจากพ้นวิกฤต แต่จริงๆ UCEP คุ้มครอง 72 ชม. ไม่ว่าจะพ้นวิกฤตหรือไม่ เพราะไม่มีอะไรรับประกันได้ว่า ภายใน 72 ชม. ผู้ป่วยจะกลับมาวิกฤตอีกหรือไม่” นักวิจัยด้านกลไกการจ่ายกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน กล่าว
ผศ.ดร.อัญมณี ภักดีมวลชน ในฐานะญาติของผู้ป่วยที่ถูกเรียกเก็บเงิน เปิดเผยถึงกรณีพี่ชายตนเองว่า ประมาณเดือน ก.พ. 2567 ที่ผ่านมา พี่ชายมีอาการอ่อนแรง สลึมสลือ น้ำลายฟูมปาก ถูกส่ง รพ.เอกชนแห่งหนึ่ง แพทย์วินิจฉัยว่าผู้ป่วยเป็นโรคเส้นเลือดในสมองอุดตันแบบเฉียบพลัน และต้องทำการลากลิ่มเลือดที่อุดตันออกอย่างเร่งด่วน ตนจึงขอแจ้งใช้สิทธิ UCEP แต่เจ้าหน้าที่แจ้งว่าโรงพยาบาลนี้ไม่ได้เข้าร่วมโครงการ UCEP อย่างไรก็ตาม เนื่องจากตนเกรงว่าหากล่าช้าต่อไปอีกจะทำให้มีโอกาสเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตสูงขึ้น จึงตกลงให้รักษาที่ รพ.นี้ โดยแฟนของตนเป็นผู้ลงนามในเอกสารยินยอมให้ทำการรักษา แต่มาทราบภายหลังว่าเป็นเอกสารปฏิเสธการใช้สิทธิ UCEP และถูกเรียกเก็บค่ารักษาประมาณ 300,000 บาท โดยเบิกจากบริษัทประกันได้ประมาณ 60,000 บาท และต้องจ่ายเองอีกประมาณ 250,000 บาท หากไม่จ่ายก็จะไม่ส่งตัวต่อไปยัง รพ.ตามสิทธิของพี่ชาย จนในที่สุดตนจึงต้องยอมเซ็นรับสภาพหนี้ถึงจะย้าย รพ.ได้
ผศ.ดร.อัญมณี กล่าวว่า ตนอยากให้ สปสช. ช่วยตรวจสอบว่าบริการ UCEP มีในทุก รพ.หรือไม่ และในกรณีของพี่ชายตนเข้าข่ายเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตและใช้สิทธิ UCEP ได้หรือไม่ หากว่าเข้าข่าย อยากให้ รพ.เบิกค่ารักษาในโครงการ UCEP และคืนเงินที่เรียกเก็บไปแล้วกลับคืนมา