สธ. เปิดตัวกิจกรรม “Brush & Bright รอยยิ้มสดใส คนไทยฟันดีทั่วทั้งแผ่นดิน” เนื่องในวันทันตสาธารณสุขแห่งชาติ

กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับมูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) จัดงานรณรงค์ “คนไทยฟันดี สดุดีสมเด็จย่า” พร้อมเปิดตัวกิจกรรม “Brush & Bright รอยยิ้มสดใส คนไทยฟันดี ทั่วทั้งแผ่นดิน” เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและเทิดพระเกียรติสมเด็จย่าของปวงชนชาวไทย และกระตุ้นให้ประชาชนเห็นความสำคัญของการดูแลสุขภาพช่องปากตนเอง


นายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยหลังเป็นประธานเปิดโครงการรณรงค์ “คนไทยฟันดี สดุดีสมเด็จย่า” เนื่องในวันทันตสาธารณสุขแห่งชาติ พ.ศ. 2567 ณ ลานอเนกประสงค์ อาคาร B ชั้น 2 ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ว่า วันที่ 21 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พระมารดาแห่งการทันตแพทย์ไทย และเป็นวันทันตสาธารณสุขแห่งชาติ เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและเทิดพระเกียรติสมเด็จย่าของปวงชนชาวไทย และเปิดตัวกิจกรรม “Brush & Bright รอยยิ้มสดใส คนไทยฟันดีทั่วทั้งแผ่นดิน” เพื่อสร้างกระแสให้ประชาชนทุกกลุ่มวัยเห็นความสำคัญของการดูแลสุขภาพช่องปาก ซึ่งในปีนี้ ได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย ยูนิเซฟ องค์กรวิชาชีพด้านสุขภาพ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานประกันสังคม กรมบัญชีกลาง ภาคเอกชน และหน่วยงานภาคประชาสังคมต่าง ๆ แสดงเจตจำนงค์ขับเคลื่อนกิจกรรมนี้ตามบทบาทภารกิจของหน่วยงานตนเอง


“จากข้อมูลการสำรวจสภาวะสุขภาพช่องปากแห่งชาติ ครั้งที่ 9 พ.ศ. 2566 ของประเทศไทย พบว่า คนไทยในกลุ่มผู้สูงอายุ (60-74 ปี) มีฟันผุ และยังไม่ได้รับการรักษา มากที่สุดถึง ร้อยละ 60 รองลงมา คือ วัยทำงาน (35-44 ปี) ร้อยละ 52.9 และในเด็กอายุ 12 ปี ร้อยละ 49.7 และพบความชุกของโรคปริทันต์อักเสบในวัยทำงาน (35-44 ปี) มากที่สุด ร้อยละ 32.6 และผู้สูงอายุ (60-74 ปี) ร้อยละ 31.1 ทั้งนี้ การป้องกันโรคในช่องปากที่ดีที่สุด คือ Brush & Bright โดย Brush หมายถึง การแปรงฟันคุณภาพ ด้วยสูตร 2-2-2 ได้แก่ การแปรงฟันด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้าและก่อนนอน แปรงฟันนานอย่างน้อย 2 นาที และไม่รับประทานอาหารหลังการแปรงฟันนาน 2 ชั่วโมง เพื่อให้ช่องปากสะอาดนานที่สุด สำหรับ Bright หมายถึง การตรวจสุขภาพช่องปากโดยทันตบุคลากรปีละ1-2 ครั้ง เพื่อให้ทราบสภาวะช่องปากตนเอง หากเกิดปัญหาในช่องปากจะได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ลดความเจ็บปวดในช่องปาก และลดการรักษาที่ยุ่งยากซับซ้อน นอกจากนี้ ควรขัดทำความสะอาดฟัน หรือขูดหินปูนอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อกำจัดคราบหินปูนที่เป็นแหล่งสะสมของเชื้อจุลินทรีย์บริเวณขอบเหงือก ลดความเสี่ยงการเกิดโรคปริทันต์หากประชาชนให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพช่องปากตนเองอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำ จะทำให้มีสุขภาพช่องปากที่ดี ซึ่งส่งผลต่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าว


ด้าน แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า การดูแลสุขภาพช่องปาก นอกจากจะลดความเจ็บปวดจากโรคในช่องปากแล้ว ยังส่งผลต่อการมีสุขภาพกายและคุณภาพชีวิตที่ดี เนื่องจากโรคทางกายหลายโรค มีความเชื่อมโยงกับปัญหาสุขภาพช่องปาก เช่น ผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะโรคปริทันต์อักเสบร่วมด้วยมักมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งจะส่งผลให้การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดทำได้ยากขึ้น หรือการดูแลอนามัยช่องปากไม่ดีจะเพิ่มความเสี่ยงการติดเชื้อ ที่ปอด หรือการติดเชื้อในกระแสเลือด โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ นอกจากนี้ การเกิดโรคฟันผุ เหงือกอักเสบ หรือรอยโรคในช่องปาก และไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม ทันเวลา ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะการกินอาหาร การกลืน การพูด บุคลิกภาพ ความมั่นใจ


ด้าน ทันตแพทย์ดำรง ธำรงเลาหะพันธุ์ ผู้อำนวยการสำนักทันตสาธารณสุข กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับวันทันตสาธารณสุขแห่งชาติ 21 ตุลาคมปีนี้ กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมอนามัย ได้จัดให้มีบริการทันตกรรมแก่ประชาชน โดยไม่คิดค่าบริการในโรงพยาบาลของรัฐ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแก่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเฉกเช่นทุกปี ซึ่งทางกรมอนามัยได้จัดให้มีบริการตรวจสุขภาพช่องปาก อุดฟัน ถอนฟัน ขูดหินปูน เคลือบฟลูออไรด์ ให้คำปรึกษาและคำแนะนำการดูแลสุขภาพช่องปากจากทันตแพทย์โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนในวันที่ 18 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ที่คลินิกส่งเสริมสุขภาพช่องปากและทันตกรรมป้องกัน กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข มีผู้รับบริการจำนวน 100 คน