“วันสตรีสากล” สปสช. คุ้มครองสิทธิสุขภาพหญิงไทย เพิ่มคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วย “แมมโมแกรม/อัลตร้าซาวด์”

        “วันสตรีสากล ปี 2568” สปสช. คุ้มครองสิทธิสุขภาพหญิงไทย สร้างความเท่าเทียม ลดช่องว่างสุขภาพระหว่างเพศ เผยสิทธิประโยชน์ใหม่ ตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วย “แมมโมแกรม/อัลตร้าซาวด์”  ในกลุ่มเสี่ยงทุกสิทธิที่มีญาติสายตรงเป็นผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ก่อนอาการลุกลามและเสียชีวิต  


นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า วันที่ 8 มีนาคมของทุกปีเป็น "วันสตรีสากล" (International Women's Day) ซึ่งเป็นวันที่ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยให้ความสำคัญกับสิทธิและบทบาทของสตรีในทุกด้าน รวมถึงสิทธิการเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพ เท่าเทียม และทั่วถึง ซึ่งภายใต้บริบทของประเทศไทย "สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” (บัตรทอง 30 บาท) เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ช่วยส่งเสริมความเท่าเทียมสุขภาพของผู้หญิงไทย


        ทั้งนี้จากสถานการณ์โรคมะเร็งในประเทศไทย “มะเร็งเต้านม” เป็นมะเร็งที่พบมากในผู้หญิงไทยเป็นอันดับหนึ่ง และข้อมูลสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ในแต่ละปีพบผู้ป่วยมะเร็งเต้านมรายใหม่กว่า 20,000 รายต่อปี ทั้งมีอุบัติการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมปีละกว่า 4,800 ราย อย่างไรก็ดีผู้ป่วยมะเร็งเต้านมมีโอกาสรักษาให้หายขาดได้ หากได้รับการตรวจคัดกรองและรักษาในระยะเริ่มต้น ดังนั้นที่ผ่านมา สปสช. จึงได้มีสิทธิประโยชน์ที่มุ่งป้องกันและตรวจคัดกรองคมะเร็งเต้านมอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มโอกาสรักษาและลดอัตราการเสียชีวิตให้กับผู้หญิงไทย


   

นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ล่าสุด สปสช. ยังได้ดำเนินการเพิ่มสิทธิประโยชน์การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยวิธี “แมมโมแกรม” และ “อัลตราซาวด์” ซึ่งเป็นไปตามมติบอร์ด สปสช. ก่อนหน้านี้  โดยมีเป้าหมายให้บริการกลุ่มประชากรที่มีภาวะเสี่ยงคือ ผู้หญิงไทยทุกสิทธิอายุ 40 ปีขึ้นไปและมีประวัติญาติสายตรงที่เป็นมะเร็งเต้านม มีสิทธิเข้ารับบริการ 1 ครั้ง ทุกๆ 2 ปี กำหนดเป้าหมายบริการจำนวน 41,730 คน เป็นงบประมาณ 100.15 ล้านบาท โดยการบริการเป็นไปตามแนวทางการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยเครื่องแมมโมแกรมและอัลตราซาวด์ของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งสามารถเข้ารับบริการได้ที่หน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่มีศักยภาพให้บริการ


ด้าน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่าจากข้อมูลโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) ระบุว่า การคัดกรองด้วยแมมโมแกรมพบว่า ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมได้ โดยสามารถลดความเสี่ยงได้ร้อยละ 20 และการตรวจแมมโมแกรมพร้อมด้วยอัลตราซาวด์ยังเพิ่มความไวในการตรวจพบมะเร็งเต้านมในหญิงที่มีเนื้อเยื่อเต้านมแน่น (dense breast) จึงเป็นวิธีที่เหมาะกับการคัดกรองในหญิงไทย 


สำหรับขั้นตอนการเข้ารับบริการนั้น นพ.จเด็จ กล่าวว่า กรณีที่เป็นผู้ป่วยมะเร็งเต้านมและมีความประสงค์ให้ญาติสายตรง อาทิ แม่ พี่สาว น้องสาว หรือลูกสาว เป็นต้น ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป เข้ารับบริการฯ ให้ขอใบรับรองแพทย์จากแพทย์เจ้าของไข้ ระบุชื่อนามสกุลของญาติที่ประสงค์รับการตรวจคัดกรองในใบรับรองแพทย์ ส่วนประชาชนที่มีญาติสายตรงเป็นผู้ป่วยมะเร็งเต้านมและประสงค์รับบริการฯ ให้นำใบรับรองแพทย์มาติดต่อยังหน่วยบริการที่มีศักยภาพให้บริการ  อย่างไรก็ดีในกรณีที่เป็นการเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลเดียวกับญาติสายตรงที่เป็นโรคมะเร็งรับการรักษา ไม่จำเป็นต้องใช้ใบรับรองแพทย์ สามารถติดต่อขอรับบริการกับทางโรงพยาบาลได้เลย


        นอกจากบริการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยแมมโมแกรมและอัลตราซาวด์แล้ว ยังมีบริการตรวจคัดกรองยีนกลายพันธุ์มะเร็งเต้านม (BRCA1/BRCA2) ขณะเดียวกัน สปสช. ยังมีบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก โดยในปัจจุบันมีชุดเก็บตัวอย่างสิ่งส่งตรวจฯ ที่ประชาชนสามารถเก็บตัวอย่างได้ด้วยตนเอง (HPV Self-sampling)  และบริการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง รวมถึงสิทธิประโยชน์บริการต่างๆ ที่คุ้มครองให้เข้าถึงบริการสุขภาพที่จำเป็นสำหรับผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นบริการการฝากครรภ์และการคลอดบุตร บริการคุมกำเนิดและการวางแผนครอบครัว เช่น ยาเม็ดคุมกำเนิด ห่วงอนามัย และการทำหมันหญิง เป็นต้น บริการเหล่านี้เป็นไปตามเจตนารมณ์ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ในการลดช่องว่างด้านสุขภาพระหว่างเพศได้