หมอโรคไต รพ.มหาราชนครศรีธรรมราช แนะวิธี “ชะลอไตเสื่อม” ต้องควบคุม “โรคเบาหวาน-ความดัน” ให้ผู้ป่วยตรวจปัสสาวะ วัดน้ำตาลสะสม และวัดความดันเป็นประจำ สู่การปรับพฤติกรรมป้องกันภาวะแทรกซ้อน ก่อนอาการรุนแรงถึง “ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย”
นพ.กมล โฆษิตรังสิกุล อายุรแพทย์โรคไต โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช กล่าวบรรยายหัวข้อ “ความรู้โรคไตสำหรับประชาชน” ในรายการ “1 เดือน 1 ความรู้” จัดโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เผยแพร่ผ่าน Facebook Live สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 ว่า ปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง 10–17% ของประชากรโลก และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่วนในไทยมีผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังประมาณ 11 ล้านคน หรือ 17.5% ส่วนใหญ่อยู่ในระยะที่ 1–3 โดยมี 5% อยู่ในระยะ 4–5 ที่ต้องบำบัดทดแทนไตราว 1 แสนคน แบ่งเป็นฟอกเลือด 85,000 คน และล้างไตทางหน้าท้อง 17,000 คน นอกจากปัญหาด้านสุขภาพแล้ว งบดูแลผู้ป่วยไตยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จาก 900 ล้านบาทเมื่อ 18 ปีก่อน เป็น 18,000 ล้านบาทในปัจจุบัน

ทั้งนี้ ปัจจัยหลักเกิดจากโรคเบาหวาน 46% และความดันโลหิตสูง 40% เมื่อป่วยแล้ว ความเสี่ยงเป็นโรคไตก็สูงด้วย และหากมีภาวะโปรตีนรั่ว ก็จะทำให้ไตเสื่อมเร็วมากขึ้น จึงต้องควบคุมความดันโลหิต และลดการรั่วของโปรตีน ซึ่งการพบโปรตีนในปัสสาวะเกิดฟอง บ่งชี้ว่าไตมีปัญหาในการกรองของเสีย มีวิธีตรวจด้วยแถบจุ่มดูว่ามีโปรตีนรั่วออกมากับปัสสาวะหรือไม่ หากมีปริมาณโปรตีนมากกว่า 300 มก. ขึ้นไป จะมีความเสี่ยงเสียชีวิตมากกว่าคนปกติ 5 เท่า และถ้าค่า eGFR ต่ำ อัตราการเสียชีวิตจะเพิ่มขึ้นเป็น 6.6 เท่าของคนปกติ
ในการวินิจฉัยโรคไต แพทย์จะวินิจฉัยโดยตรวจปัสสาวะและตรวจเลือด หากค่าตรวจ 2 ส่วนนี้มีปัญหาต่อเนื่องเกิน 3 เดือน จะถือว่าเป็นโรคไตเรื้อรัง ซึ่งแบ่งเป็น 5 ระยะ โดยระยะที่ 5 ค่าการทำงานของไตจะต่ำกว่า 15% อย่างไรก็ดี อยากให้พิจารณาผลตรวจปัสสาวะเพิ่มด้วย เพราะหากค่าโปรตีนรั่วในปัสสาวะมากกว่า 300 มก. แม้ค่าไตจะยังดูดี แต่ก็มีความเสี่ยงสูง เพราะเป็นสัญญาณว่าเนื้อเยื่อแผ่นกรองของเสียในไตมีปัญหา
นพ.กมล กล่าวต่อว่า การวินิจฉัยว่าผู้ป่วยเป็นโรคไต จะช่วยให้ผู้ป่วยปรับพฤติกรรม ควบคุมอาการโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และพฤติกรรมการใช้ชีวิต ซึ่งมีผลให้ชะลอความเสื่อมของไตได้ดีกว่าไม่ได้รับการวินิจฉัย อย่างไรก็ดี จากข้อมูลพบว่า ในไทยมีผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมโรคได้ 11% และผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ควบคุมได้ 16% ดังนั้น หากไม่ทำอะไร ผู้ป่วยโรคไตจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
“หลักการสำคัญคือ หมอและผู้ป่วยต้องเป็นทีมเดียวกันในการต่อสู้กับโรคไต และผู้ป่วยต้องไม่เปิดประตูเมืองให้ข้าศึกเข้า และต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม อย่ารอให้โรคแสดงอาการ เพราะโรคไตระยะแรกจะไม่แสดงอาการอะไร แต่หากมีอาการแสดง นั่นรุนแรงแล้ว และมักจบด้วยตาบอด กล้ามเนื้อหัวใจตาย เส้นเลือดหัวใจอุดตัน เส้นเลือดสมองตีบ ดังนั้น ป้องกันโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น" อายุรแพทย์โรคไต รพ.มหาราชนครศรีธรรมราช กล่าว
นพ.กมล ได้แนะนำให้ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงมีอุปกรณ์ตรวจค่าความดันโลหิตเป็นของตัวเองทุกคน โดยระบุว่า ปัจจุบันอุปกรณ์ดังกล่าวมีราคาเพียง 200–2,000 บาท การมีเครื่องวัดความดันของตัวเองจะช่วยติดตามค่าความดันโลหิตที่บ้านได้ทุกวัน ซึ่งความดันปกติอยู่ที่ 80–120 หากมีค่าสูงถึง 90–140 เป็นค่าบ่งชี้ที่เริ่มมีความเสี่ยงแล้ว
เช่นเดียวกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ควรตรวจค่าน้ำตาลสะสมในเลือดปีละ 2 ครั้ง โดยทั่วไปค่าน้ำตาลขณะอดอาหารตอนเช้าไม่ควรเกิน 100 มก. ค่าน้ำตาลหลังอาหารไม่ควรเกิน 140 มก. และค่าน้ำตาลสะสมต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่จะดีกว่าหากมีเครื่องตรวจค่าน้ำตาลเป็นของตัวเอง เพราะจะช่วยหาความสัมพันธ์ระหว่างน้ำตาลในเลือดกับน้ำตาลสะสมได้ รู้ค่าน้ำตาลหลังอาหาร และถ้าค่าน้ำตาลสูง ก็จะได้ปรับพฤติกรรม ลดอาหารที่มีน้ำตาลสูงได้
นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรตรวจเช็กค่าอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น ถ้าเป็นไขมันในเลือด ควรรู้ค่า LDL ของตัวเอง ถ้าเป็นโรคไตแล้ว ก็ควรรู้ค่า Creatinine หรือค่า eGFR เพราะถ้าผู้ป่วยรู้ค่าเหล่านี้ จะรู้ว่าต้องดูแลตนเองอย่างไรให้ปลอดภัย
อย่างไรก็ดี เมื่อมีการปรับพฤติกรรมเพื่อชะลอความเสื่อมของไตแล้ว ถึงจุดหนึ่งที่ต้องบำบัดทดแทนไต สิ่งสำคัญคือ การวางแผนการบำบัดทดแทนไตไว้ล่วงหน้า ให้ความรู้ผู้ป่วยถึงข้อดีข้อด้อยของการบำบัดทดแทนไตวิธีต่างๆ และให้ตัดสินใจร่วมกับแพทย์ว่าวิธีใดเหมาะกับตัวเองมากที่สุด อย่างที่โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช มีคลินิกให้คำปรึกษาการบำบัดทดแทนไต เพื่อแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับการบำบัดทดแทนไต ให้ผู้ป่วยได้เรียนรู้และสัมผัสประสบการณ์จากผู้ที่บำบัดทดแทนไตอยู่แล้ว ทำให้ผู้ป่วยตระหนักรู้ และปรับพฤติกรรมชะลอไตเสื่อม และมีการวางแผนตัดสินใจเลือกวิธีบำบัดทดแทนไตของตัวเอง
“ในการบำบัดทดแทนไต วิธีปลูกถ่ายไตทำให้มีอายุยืนที่สุด ส่วนการฟอกเลือดและล้างไตทางหน้าท้อง อัตราการเสียชีวิตไม่ต่างกัน คือ 4 ปีแรกอยู่ที่ 80% แต่โดยรวมแล้ว กว่าครึ่งของค่ารักษาพยาบาลในระบบ ถูกใช้ไปกับสิ่งที่ป้องกันได้ แค่คุมเบาหวาน ความดันโลหิต และไขมันในเลือดได้ดี ร่วมมือกับแพทย์ดูแลตัวเอง ก็ช่วยป้องกันโรคที่ต้องใช้เงินเยอะๆ ปีละหลายหมื่นล้านบาทได้” อายุรแพทย์โรคไต รพ.มหาราชนครศรีธรรมราช กล่าว

