“เบาหวาน…อย่าเบาใจ ขับเคลื่อนการดูแลเบาหวานในประเทศไทย ด้วยดิจิทัลโซลูชัน”

www.medi.co.th

นายมิไฮ อีริเมสซู (Mihai Irimescu) กรรมการผู้จัดการ บริษัท โรช ไดแอกโนสติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวในงาน “เบาหวาน…อย่าเบาใจ ขับเคลื่อนการดูแลเบาหวานในประเทศไทย ด้วยดิจิทัลโซลูชัน”ว่า โรคเบาหวานยังคงเป็นหนึ่งในความท้าทายด้านสาธารณสุขที่สำคัญที่สุด ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก จากข้อมูล Diabetes Atlas 2025 โดยสหพันธ์เบาหวานนานาชาติ (IDF) ระบุว่า ประมาณ 11.1% ของผู้ใหญ่ชาวไทยอายุ 20 ถึง 79 ปี หรือราว 6.5 ล้านคน กำลังเผชิญกับโรคเบาหวาน โดยน่าเป็นห่วงว่าเกือบ 40% ยังไม่ทราบว่าตนเองป่วย และในกลุ่มที่ได้รับการวินิจฉัยแล้ว หลายคนยังไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างเหมาะสม
เฉพาะในประเทศไทย กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) รวมถึงเบาหวาน ก่อให้เกิดภาระทางเศรษฐกิจสูงถึงเกือบ 1.6 ล้านล้านบาทต่อปี หรือประมาณ 9.7% ของ GDP ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่เพียงสถิติ แต่สะท้อนถึงชีวิตจริงของผู้ป่วยและครอบครัวที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากในแต่ละวัน
ที่โรช ไดแอกโนสติกส์ เราเชื่อว่าทุกคนควรมีโอกาสในการเข้าถึงสุขภาพที่ดี และมีอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับสุขภาพของตนเองอย่างมีข้อมูลและความมั่นใจในทุกช่วงชีวิต
ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งมีประชากรถึง 60% ของโลก หรือประมาณ 4.8 พันล้านคน การวินิจฉัยโรคมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจทางการแพทย์มากถึง 70% แต่กลับได้รับงบประมาณเพียง 2–3% ของค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข เราจึงมุ่งมั่นผลักดันให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงความสำคัญนี้
โรชมีพันธกิจในการส่งมอบโซลูชันการวินิจฉัยที่มีความสำคัญ เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจทางคลินิกในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การตรวจคัดกรองเบื้องต้น ไปจนถึงการรักษาแบบเฉพาะเจาะจง เราเชื่อว่าการดูแลผู้ป่วยจะมีประสิทธิภาพสูงสุด เมื่อแพทย์เข้าใจผู้ป่วยอย่างลึกซึ้ง และสามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ รวดเร็ว และเป็นรายบุคคล
แนวทางสำคัญของเราคือ การจัดการเบาหวานแบบเฉพาะบุคคลอย่างบูรณาการ (iPDM) ซึ่งรวมเอาอุปกรณ์ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด (BGM) แอปพลิเคชันดิจิทัล สำหรับผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ และทีมดูแลสุขภาพแบบสหสาขาเข้าด้วยกันในระบบที่มีโครงสร้างและนำไปใช้ได้จริง
ข้อดีของโมเดลนี้ได้แก่:
● การเฝ้าติดตามค่าน้ำตาลในเลือด BGM (Blood Glucose Monitoring) เป็นวิธีที่ประหยัดทั้งเวลาและทรัพยากร ช่วยให้การดูแลเบาหวานในชีวิตประจำวันมีประสิทธิภาพ และลดภาระต่อระบบสุขภาพ
● การใช้ BGM ร่วมกับแอปดิจิทัล ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น ปรับปรุงคุณภาพชีวิต และลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนที่มีค่าใช้จ่ายสูง
● ด้วยอุปกรณ์และโซลูชันดิจิทัลของโรช ทั้งผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์สามารถมีส่วนร่วมในแผนการรักษาที่เฉพาะบุคคล มีโครงสร้าง และอิงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์
" อย่างไรก็ตาม ในการสนทนาวันนี้ เราจะได้ร่วมสำรวจว่าเครื่องมือดิจิทัล เช่น การตรวจน้ำตาลอย่างมีโครงสร้าง แอปพลิเคชันมือถือ CGM แบบเรียลไทม์ และระบบติดตามทางไกล กำลังพลิกโฉมการดูแลผู้ป่วยเบาหวานในประเทศไทยอย่างไร ทำให้สามารถตรวจพบปัญหาได้เร็วขึ้น ตอบสนองได้ไวขึ้น และรักษาได้ตรงตามความต้องการเฉพาะบุคคลมากยิ่งขึ้น


 

วิวัฒนาการของการจัดการโรคเบาหวาน


การจัดการโรคเบาหวานมีพัฒนาการอย่างก้าวกระโดดจากการตรวจปัสสาวะในยุคเริ่มต้น ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีและโซลูชันดิจิทัลใหม่ๆ ทำให้การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเอง (SMBG) ผ่านการเจาะนิ้ว เป็นวิธีที่ได้รับคำแนะนำและแพร่หลายที่สุดสำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โดยการใช้งานร่วมกับแอปสุขภาพบนมือถือช่วยให้ผู้ป่วยสามารถบันทึกข้อมูลสำคัญต่างๆ เช่น การฉีดอินซูลิน การรับประทานยา และมื้ออาหาร และสามารถแชร์กับแพทย์ได้แบบเรียลไทม์


อย่างไรก็ตาม ระบบตรวจน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง (CGM) ได้กลายเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการจัดการโรคเบาหวาน ด้วยความสามารถในการให้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ ช่วยให้ควบคุมระดับน้ำตาลได้อย่างทันท่วงที แต่ถึงกระนั้น การควบคุมน้ำตาลในเลือดอย่างมีประสิทธิภาพก็ยังเป็นช่องว่างสำคัญ เนื่องจากผู้ป่วยอาจยังมีภาวะน้ำตาลต่ำ ภาวะแทรกซ้อน และคุณภาพชีวิตที่ถดถอยจากการขาดความรู้ การไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำ หรือการไม่มีเครื่องมือที่เหมาะสม


แนวคิด Integrated Personalised Diabetes Management (iPDM) หรือ การบริหารจัดการโรคเบาหวานแบบบูรณาการเฉพาะบุคคล จึงถูกพัฒนาขึ้น เพื่อช่วยผู้ป่วยควบคุมชีวิตประจำวันด้วยการจัดการแบบครบวงจร ตั้งแต่การวัดระดับน้ำตาล การจดบันทึกดิจิทัล ไปจนถึงการออกแบบแผนการรักษาเฉพาะตัว ซึ่งส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์และผู้ป่วย และช่วยให้ตัดสินใจในการรักษาได้แม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ประโยชน์ที่พิสูจน์ได้ของ iPDM และเทคโนโลยีดิจิทัลด้านเบาหวาน


iPDM และ CGM ช่วยให้ผู้ป่วยในประเทศที่พัฒนาแล้วสามารถเชื่อมโยงการสนับสนุนจากแพทย์เข้ากับการจัดการในชีวิตประจำวันได้ง่ายขึ้น ช่วยให้ผู้ป่วยมีเวลาที่ระดับน้ำตาลอยู่ในช่วงที่ปลอดภัยมากขึ้น ลดเวลาที่น้ำตาลต่ำ และลดโอกาสเกิดภาวะน้ำตาลต่ำรุนแรง แต่ในประเทศรายได้ต่ำและปานกลาง (LMICs) การนำ iPDM มาใช้ยังถูกจำกัดจากทรัพยากรที่จำกัด บุคลากรผู้เชี่ยวชาญไม่เพียงพอ และขาดประสบการณ์ในการปฏิบัติในระบบสุขภาพจริง


ศาสตราจารย์จูเลียนา ชาน ผู้อำนวยการสถาบันโรคเบาหวานและโรคอ้วนแห่งมหาวิทยาลัยจีนฮ่องกง กล่าวว่า“CGM ได้ปฏิวัติการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน แต่ในประเทศรายได้ต่ำยังมีปัญหาในการเข้าถึงเครื่องมือ ความรู้ และการสนับสนุนที่จำเป็น หากจะอุดช่องว่างนี้ เราต้องสร้างความตระหนัก ส่งเสริมการคัดกรองเชิงรุก และดูแลผู้ป่วยแบบเฉพาะบุคคล โดยใช้เทคโนโลยีเชื่อมโยงข้อมูลเข้ากับการรักษาจริง” 


บางโครงการนำร่องในประเทศ LMICs พบว่า เทคโนโลยีดิจิทัลสามารถลดช่องว่างของความรู้และการนำไปใช้ได้จริง ทำให้การประสานงานด้านการรักษาระหว่างทีมสหสาขาวิชาชีพมีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังประหยัดงบประมาณอีกด้วย ตัวอย่างในประเทศไทย โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ได้ศึกษาประสิทธิภาพของการดูแลผ่านระบบทางไกล พบว่าผู้ป่วยที่ใช้เทคโนโลยีสามารถควบคุมน้ำตาลได้ดีกว่ากลุ่มที่จดบันทึกด้วยกระดาษ ทั้งในระยะ 12 และ 24 สัปดาห์

รศ.นพ.เพชร รอดอารีย์ เลขาธิการสมาคมเบาหวานแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “หลายประเทศ รวมถึงไทย กำลังเผชิญวิกฤตเบาหวาน มีผู้ป่วยจำนวนมากยังไม่ได้รับการวินิจฉัย โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลหรือกลุ่มเปราะบาง การขาดแคลนเครื่องมือและยาใหม่ๆ เป็นอุปสรรคสำคัญ โครงการนำร่องแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีอย่าง CGM และแอปการจัดการภาวะเบาหวานสามารถยกระดับการมีส่วนร่วมของผู้ป่วยและควบคุมโรคได้ดีขึ้น หากเราเร่งลงทุนและขยายการเข้าถึง เทคโนโลยีเหล่านี้จะเชื่อมโยงความรู้ทางการแพทย์กับชีวิตจริง ทำให้ผู้ป่วยจัดการโรคได้ด้วยตนเองและมีสุขภาพที่ดีขึ้น”


อีกกรณีศึกษาจากอินเดียที่ Jothydev’s Diabetes Research Centre ได้ใช้ระบบดูแลเบาหวานทางไกล (DTMS) ด้วยการติดตามระดับน้ำตาลและการโค้ชแบบเฉพาะบุคคล โดยใช้งบเพียงเดือนละ 10 ดอลลาร์สหรัฐฯ ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของการดูแลที่มีผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง และคุ้มค่าต่อการลงทุน


นพ.โจธีเดฟ เคซาวาเดฟ ประธานศูนย์เบาหวานในรัฐเกรละ กล่าวว่า “เทคโนโลยีที่ดีที่สุดในการดูแลเบาหวาน คือสิ่งที่มีอยู่ในวันนี้ หากเราบูรณาการเครื่องมือที่ชาญฉลาดเข้ากับระบบสุขภาพ จะช่วยให้ดูแลโรคเบาหวานได้อย่างคุ้มค่า ป้องกันภาวะแทรกซ้อน และลดอัตราการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร”