ศูนย์คุ้มครองสิทธิบัตรทองเครือข่ายชาติพันธุ์ ประสานเครือข่ายฯ ในพื้นที่ ปรับวิธีการสื่อสารสิทธิบัตรทองด้วย “ภาษาถิ่น” ช่วยสร้างความเข้าใจ เพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพ ให้กับคนไทยกลุ่มชาติพันธุ์ครบทุกมิติ ด้าน ผอ. รพ.สต.รพ.สต.ปางมะเยา เผย ช่วยหนุนงานสร้างเสริมสุขภาพ ลดโรค NCDs พร้อมใช้สมุนไพรเชื่อมโยงบริการการแพทย์สมัยใหม่ ช่วยสร้างความมั่นใจให้ประชาชนในพื้นที่
น.ส.กิ่งแก้ว จั๋นติ๊บ ประธานศูนย์คุ้มครองสิทธิบัตรทองเครือข่ายชาติพันธุ์ นำคณะสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เขต 1 เชียงใหม่ (สปสช.เขต 1 เชียงใหม่) ลงพื้นที่ “ศูนย์คุ้มครองสิทธิบัตรทองเครือข่ายชาติพันธุ์” ณ ชุมชนห้วยจะค้าน ต.ปิงโค้ง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 4 ส.ค. 2568 ที่ผ่านมา เพื่อเยี่ยมชมการดำเนินงาน "การพัฒนาศักยภาพเครือข่ายภาคประชาชนกลุ่มชาติพันธุ์ ให้ความรู้สิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพคนในชุมชน : ภาษาท้องถิ่น" เพื่อกระตุ้นให้คนไทยกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) ได้เข้าถึงบริการ และเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิทางสุขภาพมากขึ้น
น.ส.กิ่งแก้ว กล่าวว่า การให้ความรู้เรื่องสิทธิบัตรทองในพื้นที่ชุมชนห้วยจะค้าน เริ่มต้นจากปัญหาการเข้าถึงสิทธิของคนในพื้นที่ก่อน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ โดยกว่าร้อยละ 90 มีสิทธิบัตรทองแล้ว แต่มีข้อจำกัดการใช้สิทธิ เพราะไม่เข้าใจรายละเอียดของสิทธิและขั้นตอนรับบริการ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีข้อจำกัดด้านภาษา ส่วนใหญ่อ่านหรือฟังภาษาไทยไม่ได้ ทำให้เข้าไม่ถึงข้อมูลสิทธิบัตรทองได้อย่างถูกต้อง ดังนั้น ศูนย์คุ้มครองสิทธิบัตรทองเครือข่ายชาติพันธุ์ จึงเข้ามาเชื่อมต่อการสื่อสารสิทธิสุขภาพด้วยภาษาท้องถิ่น โดยร่วมมือกับผู้นำชุมชน เทศบาลตำบลปิงโค้ง อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในพื้นที่ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พร้อมจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ที่เข้าใจได้ง่าย เช่น แผ่นพับ วิดีโอ คลิปเสียง สปอตวิทยุ ซึ่งแปลเป็นภาษาชาติพันธุ์ เช่น ภาษาลาหู่ และภาษาม้ง ฯลฯ นำมาเผยแพร่ทางสถานีวิทยุชุมชน และช่องทางโซเชียลมีเดีย
สำหรับเสื่อที่จัดทำนั้นจะเน้นอธิบายเรื่องสิทธิบัตรทอง เช่น สิทธิบัตรทองคืออะไร ขั้นตอนตรวจสอบสิทธิ แนวทางใช้บัตรประชาชนเข้ารับบริการ ตลอดจนถึงการขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นกรณีเกิดความเสียหายจากการรักษา และสิทธิประโยชน์สร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค 5 กลุ่มวัย เป็นต้น
น.ส.กิ่งแก้ว กล่าวเพิ่มเติมว่า อีกหนึ่งบทบาทที่ศูนย์ฯ ขับเคลื่อนควบคู่ คือการส่งเสริมดูแลสุขภาพด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น ร่วมกับ รพ.สต. ปางมะเยา ในการจัดทำ “โครงการพัฒนาศูนย์เรียนรู้สมุนไพรภูมิปัญญาอาหารในงานส่งเสริมสุขภาพโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง” (NCDs) ซึ่งเป็นกิจกรรมสุขภาพสอดคล้องกับวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ในชุมชน
“ความท้าทายที่ศูนย์ฯ พบจากการทำงานร่วมกับกลุ่มชาติพันธุ์ คือบางส่วนยังไม่ไว้วางใจกับระบบการแพทย์สมัยใหม่ จากวัฒนธรรมการดูแลสุขภาพที่แตกต่างกันออกไป แต่หลังใช้สมุนไพรเข้ามาซึ่งเป็นสิ่งที่เขาคุ้นเคย ผลตอบรับคือได้ช่วยลดความกังวลที่มี ทำให้เปิดใจและกล้าพูดคุยกับหน่วยบริการมากขึ้น ดังนั้นบทบาทของศูนย์ฯ จึงไม่ใช่แค่รับเรื่องร้องเรียน แต่คือการเชื่อมโยงเพื่อผลลัพธ์ทางสุขภาพที่ดีของประชาชน” ประธานศูนย์คุ้มครองสิทธิบัตรทองฯ กล่าว
น.ส.ทินกร ขันตรี ผู้อำนวยการ รพ.สต.ปางมะเยา กล่าวเสริมว่า จากการทำงานร่วมกันกับศูนย์คุ้มครองสิทธิบัตรทองเครือข่ายชาติพันธุ์ พบว่าแนวโน้มเข้าถึงบริการสุขภาพตามสิทธิของประชาชนในพื้นที่ที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ รพ.สต. สามารถดำเนินงานสร้างเสริมและป้องกันโรคได้อย่างทั่วถึงและครอบคลุมประชาชนมากยิ่งขึ้นด้วย อีกทั้ง อสม. ในพื้นที่ซึ่งได้ช่วยสื่อสารด้านภาษาถิ่น ก็ทำให้ รพ.สต. ให้บริการได้อย่างราบรื่น ช่วยสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพให้กับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างถูกต้อง
นอกจากนี้ รพ.สต.ปางมะเยา ยังมีศูนย์เรียนรู้สมุนไพรภูมิปัญญาอาหาร ที่ส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรในชีวิตประจำวัน นำไปใช้ปรุงอาหารได้อย่างถูกต้อง และมีผลดีต่อสุขภาพให้กับผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ตามนโยบายลดผู้ป่วย NCDs ด้วยการนับคาร์บของรัฐบาล
“จากผลการดำเนินงานที่ผ่านมา พบว่าผู้ป่วยสามารถควบคุมโรคได้ และลดภาวะโรคแทรกซ้อนลงได้ ส่วนหนึ่งมาจากการเข้าใจถึงสิทธิสุขภาพ และเข้าถึงบริการมากขึ้น รวมถึงมีความรู้การใช้ยาสมุนไพรที่ถูกต้อง ที่สำคัญยังเป็นการพัฒนาระบบสุขภาพที่เข้าใจความเป็นชุมชนอย่างแท้จริง” น.ส.ทินกร กล่าว
ด้าน น.ส.จินตนา สันถวเมตต์ ผู้อำนวยการ สปสช. เขต 1 เชียงใหม่ กล่าวเพิ่มเติมว่า ศูนย์คุ้มครองสิทธิบัตรทองเครือข่ายชาติพันธุ์ที่ชุมชนห้วยจะค้านนี้ ไม่เพียงเป็นจุดรับเรื่องร้องเรียนหรือให้คำปรึกษาเรื่องสิทธิสุขภาพ แต่ได้เสริมสร้างศักยภาพดูแลสุขภาพตนเองให้กับคนในพื้นที่ เข้าใจในสิทธิสุขภาพ และเพิ่มเข้าถึงบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการประสานความร่วมมือกับเครือข่ายพื้นที่ ในการผลิตสื่อต่างๆ เพื่อสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายกลุ่มชาติพันธุ์โดยใช้ภาษาถิ่น ส่งผลให้เกิดการลดอุปสรรคด้านภาษาที่มีผลต่อการเข้าถึงบริการ ทำให้ประชากรกลุ่มชาติพันธุ์ได้ใช้สิทธิบัตรทองได้อย่างถูกต้อง เท่าเทียม ทั้งนี้ สปสช. เขต 1 เชียงใหม่ ครอบคลุมดูแลจังหวัดภาคเหนือตอนบน ซึ่งมีกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีความหลากหลายเชื้อชาติและวัฒนธรรม ซึ่งการสื่อสารด้านสุขภาพจึงต้องคำนึงถึงบริบททางวัฒนธรรมและภาษาที่แตกต่างกันอย่างรอบด้าน
"แผนการทำงานระยะต่อไป สปสช. อยากเข้ามาสนับสนุนการผลิตและเผยแพร่สื่อสุขภาพในภาษาชาติพันธุ์เพิ่มเติม โดยขยายช่องทางผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น สื่อออนไลน์ โทรทัศน์ และโซเชียลมีเดีย เพื่อให้ประชากรกลุ่มชาติพันธุ์เข้าถึงข้อมูลด้านสุขภาพที่เหมาะสมกับบริบทของตนเองมากขึ้น และสนับสนุนให้เกิดการมีส่วนร่วมของชุมชนในการผลิตเนื้อหา สอดคล้องกับความเชื่อและวิถีชีวิต ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนระบบสุขภาพที่ครอบคลุมและเข้าถึงทุกคนอย่างแท้จริง" ผู้อำนวยการ สปสช. เขต 1 กล่าว