
สวนนงนุช ต้นแบบสถานที่ท่องเที่ยว ร่วมจัดบริการ “คลินิกแพทย์แผนไทย – คลินิกเวชกรรม” ในระบบบัตรทอง ช่วยดูแลสุขภาพคนไทย ทั้งพนักงาน ชุมชนใกล้เคียง และนักท่องเที่ยว เข้าถึงบริการสุขภาพด้วย“สิทธิบัตรทอง” ด้าน “กัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา” เผย หลังดำเนินการได้รับเสียงตอบรับที่ดี เพิ่มความสะดวก ในการเข้ารับบริการสุขภาพ ไม่มีค่าใช้จ่าย
นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่คลินิกการแพทย์แผนไทยสวนนงนุช และนงนุชคลินิกเวชกรรม ต.นาจอมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ร่วมให้การต้อนรับ นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) พร้อมด้วย นพ.สุรทิน มาลีหวล ผู้อำนวยการ สปสช. เขต 6 ระยอง ซึ่งได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามการให้บริการของหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) เมื่อวันที่ 8 ก.ย. 2568 ที่ผ่านมา โดย “คลินิกการแพทย์แผนไทยสวนนงนุช” ตั้งอยู่บริการหน้าสวนนงนุช ขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการรับส่งต่อเฉพาะด้านแพทย์แผนไทยในระบบบัตรทองฯ เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2568 และได้ให้บริการผู้ป่วยแล้ว และ “สวนนงนุชคลินิกเวชกรรม” ตั้งอยู่ภายในสวนนงนุช ขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการรับส่งต่อเฉพาะด้านเวชกรรมในระบบบัตรทอง เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2568 ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมในการจัดบริการ
นายกัมพล กล่าวว่า การจัดตั้งคลินิกการแพทย์แผนไทยสวนนงนุช และนงนุชคลินิกเวชกรรมในพื้นที่ของสวนนงนุชนั้น มีเป้าหมายหลักเพื่อเพิ่มความสะดวกในการรับบริการทางการแพทย์ให้กับทุกคนอย่างทั่วถึง ทั้งที่เป็นนักท่องเที่ยวซึ่งอาจประสบอุบัติเหตุฉุกเฉิน พนักงานภายในสวนนงนุชที่ต้องได้รับการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง ไปจนถึงประชาชนในชุมชนใกล้เคียงที่ต้องการรับการรักษาพยาบาล ดังนั้นการเข้าร่วมในระบบบัตรทองจึงช่วยตอบโจทย์ดังกล่าวได้อย่างดี ซึ่งจากการดำเนินงานที่ผ่านมา ก็ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากผู้ใช้บริการอย่างสม่ำเสมอ ทั้งพนักงานของสวนนงนุชและประชาชนในพื้นที่ แต่การเข้ารับบริการในส่วนคลินิกการแพทย์แผนไทยฯ ยังไม่มากนัก อาจเป็นเพราะทัศนคติที่ยังไม่เชื่อมั่นในการรักษาด้วยวิธีการแพทย์แผนไทย ดังนั้นจึงต้องดำเนินการค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการและความเชื่อมั่นของผู้รับบริการ
“อยากให้ประชาชนเปิดใจยอมรับการรักษาด้วยการแพทย์แผนไทยให้มากขึ้น เพราะการพึ่งพาแต่การแพทย์แผนปัจจุบันเพียงอย่างเดียวทำให้มีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ในขณะที่การแพทย์แผนไทยก็มีศักยภาพในการช่วยแก้ปัญหาสุขภาพได้หลากหลายเช่นกัน จึงอยากให้ประชาชนพิจารณาการรักษาด้วยแพทย์แผนไทยเป็นอีกหนึ่งทางเลือก เพื่อดูแลสุขภาพของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดค่าใช้จ่าย” นายกัมพล กล่าว
พท.สุรีรัตน์ สุนันต๊ะ แพทย์แผนไทยประจำคลินิกการแพทย์แผนไทยสวนนงนุช กล่าวว่า ที่คลินิกฯ ปกติจะมีผู้เข้ารับบริการประมาณ 50 คนต่อเดือน แต่หลังจากเข้าร่วมระบบบัตรทองประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมา มีผู้มารับบริการเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5 คนต่อวัน โดยผู้ใช้สิทธิบัตรทองที่มารับบริการส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและผู้มีรายได้น้อยที่อยู่ในพื้นที่ รวมถึงคนมาพักอาศัยภายในสวนนงนุช เช่น นักท่องเที่ยว หรือคณะที่มาจัดการอบรม และสัมมนา
ซึ่งโรคและอาการที่ผู้ใช้สิทธิบัตรทองมารับบริการมีหลากหลาย เช่น อาการปวดหัวเข่า โรคลมจับโปงพอง ออฟฟิศซินโดรมที่มีอาการปวดคอ บ่า ไหล่ และหลัง ผู้ที่มีการรักษาเฉพาะทางอย่างผู้ที่มีภาวะพังผืด ผู้หญิงที่ผ่านการตั้งครรภ์มาแล้วต้องการที่จะอยู่ไฟ รวมถึงช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการไหลเวียนของเลือดได้ดี
“ผู้ใช้สิทธิบัตรทองสามารถเข้ารับบริการ (นวด อบ ประคบ) ได้ตามหลักเกณฑ์ที่ สปสช. กำหนด และสามารถรับการรักษาต่อเนื่องจนกว่าอาการจะดีขึ้น ยกเว้นระยะการรักษาตามคำแนะนำของแพทย์ อย่างไรก็ดีคลินิกยังไม่ได้ให้บริการจ่ายยาสมุนไพร เข้าร่วมให้บริการเฉพาะการทำหัตถการแพทย์แผนไทยเท่านั้น” พท.สุรีรัตน์ กล่าว
ด้าน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า การลงพื้นวันนี้พบว่า คลินิกฯ สามารถเป็นที่พึ่งของประชาชนในพื้นที่ได้ โดยเฉพาะคลินิกการแพทย์แผนไทย ซึ่งศาสตร์นี้กำลังมีความสำคัญมากขึ้น ขณะเดียวกัน สปสช. ได้เพิ่มสิทธิประโยชน์ที่เป็นบริการด้านการแพทย์แผนไทยใหม่ๆ ด้วย อาทิ พอกเข่า ฝังเข็ม ฯลฯ อีกทั้งในวันที่ 1 ต.ค. 2568 จะมีการเพิ่มบริการนวดไทยอีก 7 กลุ่มอาการ ตามที่กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกกำลังขับเคลื่อน อย่างไรก็ดีด้วยปัจจุบันคลินิกการแพทย์แผนไทยสวนนงนุชยังให้บริการเฉพาะหัตถการแพทย์แผนไทย แต่ยังไม่ได้ให้บริการยาสมุนไพร สปสช. จึงแนะนำให้เพิ่มบริการดังกล่าวเพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงยาแผนไทยที่ยาหลายชนิดพิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์ เช่น ฟ้าทะลายโจร เป็นต้น
“บริการแพทย์แผนไทยได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์ เชื่อว่าในอนาคตที่นี่จะมีการให้บริการเพิ่มขึ้น เป็นที่พึ่งให้กับประชาชนต่อไปได้ ทั้งนี้อยากชวนให้สถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ อาจจะใช้ทางสวนนงนุชเป็นต้นแบบในการ่วมให้บริการผู้ใช้สิทธิบัตรทอง ซึ่งแน่นอนว่ารายได้หลักของสถานที่ท่องเที่ยวยังมาจากนักท่องเที่ยว แต่ช่วงโลว์ซีซัน (Low Season) การให้บริการกับคนไทยตรงนี้อาจจะมาช่วยเสริมได้ และส่วนหนึ่งยังได้ดูแลคนในชุมชนด้วย” เลขาธิการ สปสช. กล่าว
ขณะที่ นางปรียะพันธ์ ทาทอง ผู้ใช้สิทธิบัตรทองอายุ 72 ปี ที่มารับบริการที่คลินิกการแพทย์แผนไทยสวนนงนุช กล่าวว่า ก่อนที่คลินิกจะเข้าร่วมในระบบบัตรทอง ก็มีการจ้างหมอนวดแผนไทยมานวดให้ที่บ้านเป็นประจำอยู่แล้วเฉลี่ยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อรักษาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ชั่วโมงละ 250 บาท เมื่อทางคลินิกแพทย์แผนไทยสวนนงนุชได้เข้าร่วมให้บริการสิทธิบัตรทอง จึงมารับบริการที่นี่ ทำให้ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มาก ส่วนค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เนื่องจากมีคนในครอบครัวทำงานอยู่ที่สวนนงนุชอยู่แล้ว จึงอาศัยนั่งรถมาด้วยที่ทำให้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายส่วนนี้
“ในฐานะผู้สูงวัยมองว่บริการคลินิกแพทย์แผนไทยเป็นสิ่งที่จับต้องได้จริง และตอบโจทย์การดูแลสุขภาพ เพราะโดยปกติผู้สูงอายุมักต้องเข้ารับการรักษาตามคำสั่งแพทย์ เช่น วัดความดัน ตรวจระดับน้ำตาล ตรวจไขมันในเลือด รวมถึงรับยาตามโรคประจำตัวที่เป็นกันอยู่ทั่วไป แต่เมื่อมีบริการนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยเสริมการดูแลสุขภาพกายและใจให้ผู้สุงอายุ ถือเป็นประโยชน์ที่มีคุณค่าอย่างแท้จริง” ผู้ใช้สิทธิบัตรทอง ระบุ
15 กันยายน 2568
