กระทรวงสาธารณสุข รับมือการระบาดของโรคโควิด 19 ระลอกใหม่ด้วย 4 มาตรการ คาดจะกลายเป็นโรคประจำถิ่นได้ในปีนี้ หลังเชื้อรุนแรงลดลง มีการฉีดวัคซีนมากขึ้น ผู้ติดเชื้อไม่มีอาการจะใช้การดูแลที่บ้านและชุมชน ส่วนเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี แพทย์จะประเมินอาการทุกราย เผยช่วงปีใหม่คนเดินทางสูงกว่า 2 ปีที่ผ่านมาจึงมีโอกาสแพร่กระจายเชื้อสูง แต่หากร่วมกันลดกิจกรรมเสี่ยง ฉีดวัคซีน จะควบคุมสถานการณ์ได้ ส่วน “เดลตาครอน" ไม่ใช่สายพันธุ์ใหม่ แต่อาจเกิดจากการปนเปื้อนของตัวอย่าง
นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และ นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารีย์ เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ร่วมกันแถลงแผนการรับมือการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 ระลอกมกราคม 2565
นพ.เกียรติภูมิกล่าวว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ระลอกนี้ ประเทศไทยมีการติดเชื้อสูงขึ้น แต่อัตราการเสียชีวิตลดลงเหมือนกับทั่วโลก เชื่อว่าจะบริหารจัดการให้เข้าสู่โรคประจำถิ่นได้ภายในปีนี้ เนื่องจากตัวเชื้อมีความรุนแรงลดลง ประชาชนร่วมมือกันฉีดวัคซีนมากขึ้น โดยยุทธศาสตร์สำคัญคือ การชะลอการแพร่ระบาดได้วางมาตรการรับมือ 4 มาตรการ คือ 1.มาตรการสาธารณสุข โดยเพิ่มการฉีดวัคซีน ตรวจคัดกรองด้วย ATK และติดตามเฝ้าระวังการกลายพันธุ์ 2.มาตรการทางการแพทย์ ใช้การดูแลที่บ้านหรือชุมชน (Home Isolation/ Community Isolation : HI/CI) เป็นลำดับแรก โดยสนับสนุนทั้งยา เวชภัณฑ์ มีระบบส่งต่อหากมีอาการรุนแรงขึ้น และมีระบบสายด่วนรองรับ 3.มาตรการทางสังคม โดยเน้นป้องกันตนเองสูงสุดตลอดเวลา รักษาระยะห่าง ใส่หน้ากาก ล้างมือ เลี่ยงไปสถานที่เสี่ยง สถานประกอบการใช้มาตรการ COVID Free Setting และ 4.มาตรการสนับสนุน เช่น ค่าบริการรักษาพยาบาล และค่าตรวจต่างๆ ที่มีความเหมาะสม
“ขอความร่วมมือทุกภาคส่วนใช้มาตรการ VUCA คือ Vaccine ฉีดวัคซีน Universal Prevention ป้องกันตนเองกับทุกคน ทุกที่ ทุกเวลา COVID Free Setting และตรวจ ATK ซึ่งถ้าประชาชนร่วมกันฉีดวัคซีน เชื้อไม่กลายพันธุ์เพิ่ม และการติดเชื้อไม่มีลักษณะรุนแรงมากขึ้น คาดว่าการติดเชื้อระลอกนี้ที่เป็นสายพันธุ์โอมิครอนจะใช้เวลาประมาณ 2 เดือนแล้วค่อยลดลง น่าจะเป็นโรคประจำถิ่นได้ภายในปีนี้” นพ.เกียรติภูมิกล่าว
นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า ขณะนี้ตรวจพบเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนสะสม 5,397 ราย ใน 71 จังหวัด ยกเว้น น่าน ตราด ชัยนาท อ่างทอง พังงา และนราธิวาส ทั้งนี้ การตรวจสายพันธุ์โอมิครอนส่วนใหญ่เป็นการตรวจในผู้ติดเชื้อที่เดินทางมาจากต่างประเทศและผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ทำให้สัดส่วนการพบสายพันธุ์โอมิครอนอาจสูงเกินจริง จะปรับวิธีการโดยให้ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ทั้ง 15 ศูนย์สุ่มตรวจสัปดาห์ละ 140 ตัวอย่าง เพื่อติดตามสัดส่วนของสายพันธุ์ตามสถานการณ์จริง
สำหรับกรณีไซปรัสส่งข้อมูลการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งตัวเข้าระบบ GISIAD 24 ตัวอย่าง พบส่วนที่เป็นเดลตาและโอมิครอนอยู่ด้วยกัน จากการตรวจสอบพบว่าส่วนที่เป็นเดลตามีความแตกต่างกันทั้ง 24 ตัวอย่าง ส่วนที่เป็นโอมิครอนมีลักษณะเหมือนกันทั้งหมด จึงสรุปว่าไม่ใช่เชื้อสายพันธุ์ใหม่หรือไฮบริด เพราะหากเป็นตัวใหม่การตรวจต้องเหมือนกันทั้งสองส่วน GISIAD จึงจัดว่าทั้ง 24 รายเป็นเดลตา แต่เกิดจากการปนเปื้อนเชื้อโอมิครอนในตัวอย่าง ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้มากสุด ส่วนการพบติดเชื้อ 2 สายพันธุ์ในคนเดียวมากถึง 24 คน เป็นไปได้น้อยมาก สำหรับชุดตรวจ ATK กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้สุ่มทดสอบชุดตรวจ 8 ยี่ห้อ พบว่าสามารถตรวจหาโควิด 19 สายพันธุ์โอมิครอนได้เหมือนกันทั้ง 8 ยี่ห้อ แต่ไม่สามารถระบุว่าเป็นสายพันธุ์โอมิครอนโดยเฉพาะ
นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า ผู้ติดเชื้อโอมิครอน 48% จะไม่มีอาการ จึงเน้นการดูแลที่บ้านและชุมชน (HI/CI) เป็นหลัก โดยผู้ติดเชื้อที่ตรวจจากสถานพยาบาลหรือหน่วยบริการเชิงรุกจะได้รับการประเมินอาการทันที ส่วนการตรวจ ATK ด้วยตนเอง ต้องติดต่อสายด่วน 1330 หรือช่องทางที่ สปสช.เตรียมไว้ หรือติดต่อศูนย์ปฏิบัติการของแต่ละจังหวัด โดยผู้ติดเชื้อจะได้รับการติดต่อกลับเพื่อประเมินอาการ หากไม่มีอาการหรืออาการไม่มากจะให้ดูแลที่บ้าน หากไม่สามารถทำได้จะให้ไปดูแลที่ชุมชน และถ้าเริ่มมีอาการแพทย์จะจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ตามดุลพินิจ ซึ่งการได้รับยาหลังมีอาการไม่เกิน 3-4 วันจะได้ผลดี ทั้งนี้ หากผู้ติดเชื้อมีอาการมากขึ้น เช่น เด็กมีอาการหายใจลำบาก ซึมลง ดื่มนมหรือทานอาหารน้อยลง ผู้ใหญ่มีไข้สูงเกิน 39 องศาเซลเซียสมากกว่า 24 ชั่วโมง หายใจเร็วกว่า 25 ครั้งต่อนาที ออกซิเจนในเลือดต่ำกว่า 94% หรือโรคประจำตัวมีอาการรุนแรงขึ้น หรือแพทย์เห็นว่ามีความเสี่ยง ต้องติดตามอาการอย่างใกล้ชิด จะส่งต่อผู้ป่วยไปยังฮอสปิเทล โรงพยาบาลสนาม หรือโรงพยาบาลหลักต่อไป ภาพรวมใช้เวลารักษา 10 วัน สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี หากผลตรวจเป็นบวก ขอให้ไปโรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์ประเมินอาการทุกราย โดยกรมการแพทย์ได้จัดทีมกุมารแพทย์เป็นที่ปรึกษาในการประเมินอาการ
ซึ่งไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทุกคน ขึ้นกับการประเมินอาการแรกรับ
นพ.โอภาส กล่าวว่า จากการติดตามข้อมูลการเคลื่อนที่ของประชาชนจากสัญญาณโทรศัพท์มือถือการเดินทางด้วยรถและการเดิน พบว่า ช่วงมกราคม 2565 มีการเคลื่อนที่สูงสุดในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้เสี่ยงการระบาดมากขึ้น เป็นไปตามคาดการณ์ว่าหลังปีใหม่ที่มีกิจกรรมมากจะมีโอกาสติดเชื้อและแพร่เชื้อเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม พื้นที่ กทม.มีการเดินทางช่วงปีใหม่และหลังปีใหม่ไม่มาก ประชาชนให้ความร่วมมือดี มีมาตรการทำงานที่บ้าน สถานการณ์จึงไม่ได้รุนแรงมากอย่างที่กังวล ส่วน จ.ชลบุรี หลังเกิดการระบาดมีการตื่นตัว ปิดสถานที่สถานบันเทิง จึงน่าจะควบคุมการระบาดได้ ภาพรวมแนวโน้มการติดเชื้อชะลอตัวลง หากทุกคนยังคงร่วมมือกัน
ลดกิจกรรมเสี่ยง ไปรับวัคซีนตามกำหนด รวมถึงวัคซีนเข็มกระตุ้น ที่โรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขใกล้บ้าน ก็จะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้
ด้าน นพ.จเด็จ กล่าวว่า ผู้ที่มีผลตรวจโควิด 19 เป็นบวก สามารถติดต่อเข้าสู่ระบบการรักษาได้ 3 ช่องทาง ได้แก่ สายด่วน 1330 ต่อ 14 ตลอด 24 ชั่วโมง, เว็บไซต์ สปสช. www.nhso.go.th เพื่อกรอกข้อมูลและแจ้งหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อกลับ และแอปพลิเคชันไลน์ โดยการเพิ่มเพื่อน @nhso จะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับภายใน 6 ชั่วโมง เพื่อเข้าสู่ระบบการรักษา หากไม่มีข้อห้าม เช่น ไม่ได้เป็นกลุ่มเสี่ยงที่ไม่ได้รับวัคซีน หรือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมอาการได้ จะได้รับคำแนะนำให้เข้าระบบการรักษาแบบ HI/CI มีบุคลากรทางการแพทย์ติดตามอาการ ทั้งนี้ ระบบสายด่วน 1330 รองรับสายเข้าพร้อมกันได้ทั้งหมด 3,000 สาย มีเจ้าหน้าที่รับสายจำนวน 300 คน ตลอด 24 ชั่วโมงทั่วประเทศ ซึ่งระยะต่อไปหากจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้น จะเพิ่มจำนวนบุคลากรรองรับให้เพียงพอต่อการให้บริการ โดยข้อมูล 24 ชั่วโมงล่าสุด มีผู้โทรศัพท์เข้ามาขอเตียงทั้งหมด 1,054 ราย จากสายทั้งหมด 8,000 ราย และยังได้เตรียมทดลองระบบหากมีผู้โทรเข้าพร้อมกันจำนวน 20,000 สายด้วย จึงขอให้มั่นใจว่าจะสามารถให้บริการได้โดยไม่มีสายตกค้างหรือตกหล่น