สธ. ขยาย “ศูนย์การแพทย์บางรัก” เป็นศูนย์กลางการให้บริการด้านสุขภาพทางเพศแบบ One Stop Service

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดอาคารศูนย์การแพทย์บางรัก กรมควบคุมโรค เป็นศูนย์กลางการให้บริการด้านสุขภาพทางเพศแบบ One stop service ทั้งตรวจคัดกรอง รักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และโรคผิวหนัง เตรียมพร้อมยกระดับการให้บริการสู่ Wellness Center และเป็นศูนย์ฝึกอบรมด้านการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ระดับนานาชาติในอนาคต


    นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค คณะผู้บริหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน ร่วมเปิดอาคาร “ศูนย์การแพทย์บางรัก” เพื่อเป็นที่ทำการแห่งใหม่ภายใต้แนวคิด “90 ปี บางรัก Better Services Better Health” และกล่าวว่า โรงพยาบาลบางรัก เป็นสถานพยาบาลเฉพาะทางโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เปิดให้บริการมาแล้วกว่า 90 ปี กรมควบคุมโรคได้ปรับปรุงและเปิดเป็น “ศูนย์การแพทย์บางรัก” ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพทางเพศแบบ One stop service ให้บริการครอบคลุมทั้งการตรวจคัดกรอง ให้คำปรึกษา รักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคผิวหนัง และฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี เพื่อเป็นการเฝ้าระวังและควบคุมโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของประเทศ และให้ประชาชนได้เข้าถึงบริการด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่มีคุณภาพ และมาตรฐาน


          

นายอนุทินกล่าวต่อว่า โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เป็นโรคที่ต้องเฝ้าระวังภายใต้ พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตและพฤติกรรมประชาชน ข้อมูลล่าสุดปี 2563 พบอัตราป่วยมีแนวโน้มสูงขึ้นถึง 33.6 ต่อแสนคน โดยเฉพาะ 5 โรคหลัก ได้แก่ ซิฟิลิส หนองใน หนองในเทียม แผลริมอ่อน และกามโรคของต่อมและท่อน้ำเหลือง ซึ่งในเยาวชนอายุ 15 – 24 ปี มีอัตราป่วยโรคซิฟิลิสค่อนข้างสูง จากปี 2558 อัตราป่วย 11.0 ต่อแสนคน ในปี 2563 เพิ่มเป็น 50.4 ต่อแสนคน ส่วนโรคหนองใน ปี 2563 มีอัตราป่วย 58.8 ต่อแสนคน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขมีเป้าหมายที่จะยุติปัญหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ภายในปี 2573 โดยลดอัตราป่วยโรคหนองในไม่เกิน 3 ต่อแสนคน และลดอัตราป่วยโรคซิฟิลิสรายใหม่ไม่เกิน 1 ต่อแสนคน


              ด้านนพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า แผนการให้บริการของศูนย์การแพทย์บางรักที่จะเริ่มในวันที่ 1 มีนาคม 2565 ได้แก่ จ่ายยาเพร็พ (PrEP) เพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่, ให้บริการแบบ STIs Test & Go โดยเพิ่มช่องทางให้ประเมินความเสี่ยงและเก็บสิ่งส่งตรวจด้วยตนเอง คัดกรองความเสี่ยงมะเร็งปากมดลูกด้วยการตรวจหาเชื้อ HPV(HPV DNA) มีห้องปฏิบัติการที่ทันสมัยทั้งด้านภูมิคุ้มกันวิทยา จุลชีววิทยา และอณูชีวโมเลกุล มีงานวิจัยด้านยาร่วมกับหน่วยงานในต่างประเทศ เช่น การศึกษาวิจัยแบบสุ่มเปิดเผยชื่อยาดำเนินการในหลายสถาบันบนสมมุติฐานของความไม่ด้อยกว่า เพื่อประเมินประสิทธิผลและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์วิจัยโซลิโฟลดาซิน (Zoliflodacin) ชนิดรับประทานครั้งเดียวเปรียบเทียบกับยาเซฟไตรอะโซน(Ceftriaxone) ชนิดฉีดเข้าชั้นกล้ามเนื้อครั้งเดียวร่วมกับ ยาอะซิโธรมัยซิน (Azithromycin) ชนิดรับประทานครั้งเดียวในการรักษาผู้ป่วยโรคหนองในชนิดไม่มีภาวะแทรกซ้อน และจะยกระดับการให้บริการสู่ Wellness Center และเป็น STIs Prevention Training Center ที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติในอนาคต ส่วนในปี 2566 ได้วางแผนให้บริการตรวจ viral load ของไวรัสตับอักเสบซี ตรวจสุขภาพก่อนเดินทางไปต่างประเทศ/ก่อนเข้าทำงาน/และตรวจสุขภาพประจำปี บริการฉีดวัคซีนสำหรับผู้ใหญ่ เช่น HPV (ป้องกันหูดและมะเร็งปากมดลูก) ไวรัสตับอักเสบเอ ไข้หวัดใหญ่ วัคซีนป้องกันโรคงูสวัด เป็นต้น รวมทั้ง บริการส่งยาทางไปรษณีย์  

              


            ทั้งนี้ ภายในงานได้มีการจัดนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันและรักษาการติดเชื้อ HIV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จากกองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค และภาคประชาสังคม ได้แก่ มูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ สมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย รวมถึงให้บริการตรวจสุขภาพทางเพศฟรีแก่ประชาชน และตลอดทั้งเดือนกุมภาพันธ์จะเปิดให้บริการตรวจ 6 โรค ฟรี ได้แก่ HIV ซิฟิลิส หนองใน หนองในเทียม ไวรัสตับอักเสบบี และซี รวมทั้งจัดกิจกรรมรณรงค์ “Start Safe SEX, Use Condom” เพื่อสร้างความรอบรู้ ความเข้าใจ และสร้าง ความตระหนักถึงการใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธี และใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ไม่ว่ากับใครก็ตาม เพื่อให้เกิดเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย