นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยข้อมูลการตรวจยืนยัน เชื้อซาลโมเนลล่า (Salmonella) และเชื้อชิกเกลล่า (Shigella) ทางห้องปฏิบัติการของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ระหว่างปี พ.ศ. 2562-2564 โดยได้ทำการรวบรวมข้อมูลและจำนวนที่ตรวจพบจากตัวอย่างที่ส่งมาตรวจยืนยันเชื้อบริสุทธิ์จากผู้ป่วย อาหารและสิ่งแวดล้อม พบว่า ในปี 2562 พบซาลโมเนลล่า เอนเตอริทิดิส (Salmonella Enteritidis) จำนวน 12 ไอโซเลต จากตัวอย่างทั้งหมด 315 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 3.80 ปี 2563 พบ 14 ไอโซเลต จากตัวอย่างทั้งหมด 408 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 3.43 และปี 2564 พบ 24 ไอโซเลต จากตัวอย่างทั้งหมด 271 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 8.86
ทั้งนี้เชื้อซาลโมเนลล่า เอนเตอริทิดิส เป็นสายพันธุ์ที่มักก่อให้เกิดอาการของโรคในมนุษย์ที่รุนแรงกว่าสายพันธุ์อื่นๆ และถูกกำหนดในราชกิจจานุเบกษาของกรมปศุสัตว์ว่าด้วยการควบคุมโรคซาลโมเนลล่าสําหรับสัตว์ปีก หากมีการปนเปื้อนเชื้อดังกล่าวอาจจะส่งผลกระทบต่อการค้าและเศรษฐกิจ
นายแพทย์ศุภกิจ กล่าวต่ออีกว่า เชื้อซาลโมเนลล่าเป็นแบคทีเรียมีอยู่หลายสายพันธุ์ เกือบทุกสายพันธุ์ล้วนก่อให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษที่มีความรุนแรงได้ทั้งสิ้น โรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียซาลโมเนลล่าหรือที่เรียกว่า ซาลโมเนลโลสิส (Salmonellosis) พบได้ในลําไส้มนุษย์และสัตว์ อาหารที่มักพบว่ามีการปนเปื้อน คือ เนื้อและเครื่องใน โดยเฉพาะเนื้อไก่ ไข่ และนมดิบ หากได้รับเชื้อจะทําให้เกิดอาการภายใน 12–36 ชั่วโมง อาการที่พบได้คือ คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง ท้องร่วง เป็นไข้ ระยะเวลาที่เป็น 1–8 วัน ที่ผ่านมาเคยมีการระบาดของเชื้อซาลโมเนลล่าทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
“จากตัวอย่างที่ส่งตรวจยืนยันเชื้อซาลโมเนลล่าทางห้องปฏิบัติการในระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา พบเชื้อซาลโมเนลล่า เอนเตอริทิดิสมีอัตราเพิ่มขึ้น ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเฝ้าระวังกันอย่างต่อเนื่อง สำหรับประชาชนควรดื่มน้ำ รับประทานอาหารที่สะอาด ปรุงสุกใหม่ด้วยความร้อน หลีกเลี่ยงอาหารที่สุกๆ ดิบๆ หมั่นล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหาร และล้างมือก่อนออกจากห้องน้ำ ส่วนผู้ประกอบอาหารหรือบริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกอาหารควรให้ความสำคัญในเรื่องความสะอาดและปฏิบัติตามหลักสุขาภิบาลอาหารและน้ำอย่างเคร่งครัด” นายแพทย์ศุภกิจ กล่าว