 
 เป็นอาการที่เส้นเลือดบริเวณทวารหนักและลำไส้ตรงส่วนล่างจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเหมือนเส้นเลือดขอด ผู้ใหญ่ราว 3 ใน 4 คน มักเคยเป็นโรคริดสีดวงทวารครั้งหนึ่งในชีวิต สาเหตุของโรคมีได้หลายสาเห
โรคริดสีดวงทวาร
                   เมื่อมีอาการของโรคริดสีดวงทวาร เส้นเลือดบริเวณทวารหนักและลำไส้ตรงส่วนล่างจะมีขนาดใหญ่ขึ้น เหมือนเส้นเลือดขอด โรคริดสีดวงทวารแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ โรคริดสีดวงทวารภายใน ซึ่งเกิดภายในลำไส้ตรงและโรคริดสีดวงทวารภายนอก ซึ่งเกิดใต้ผิวหนังรอบทวารหนัก
                   ผู้ใหญ่ราว 3 ใน 4 คน มักเคยเป็นโรคริดสีดวงทวารครั้งหนึ่งในชีวิต สาเหตุของโรคมีได้หลายสาเหตุ แต่โดยมากแล้วมักไม่สามารถระบุสาเหตุได้
                   อย่างไรก็ตาม การรักษาโรคริดสีดวงทวารนั้นได้ผลดี และการดูแลรักษาด้วยยาสามัญประจำบ้าน ร่วมกับการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตก็สามารถช่วยบรรเทาอาการได้

อาการของโรคริดสีดวงทวาร
อาการขึ้นอยู่กับชนิดของโรคริดสีดวงทวาร
1. โรคริดสีดวงทวารภายนอกเกิดขึ้นบริเวณทวารหนัก มักมีอาการ
 - เลือดออก
 - ผิวรอบทวารบวม
 - ไม่สบายตัว เจ็บปวด
 - อาการระคายเคือง คันบริเวณทวารหนัก
2. โรคริดสีดวงทวารภายในเกิดภายในลำไส้ตรง มักมองไม่เห็นหรือไม่ทำให้เจ็บ แต่หากต้องเบ่งอุจจาระ อาจมีอาการดังนี้
 - เลือดสดออกทางทวารหนักแต่ไม่เจ็บ อาจมีเลือดหยดลงในโถสุขภัณฑ์หรือบนกระดาษทิชชู
 - โรคริดสีดวงแบบมีก้อนยื่นออกนอกทวาร ซึ่งจะรู้สึกเจ็บและระคายเคือง
 3. โรคริดสีดวงทวารแบบมีลิ่มเลือด เมื่อเกิดลิ่มเลือดในริดสีดวงทวารภายนอก มักมีอาการ
 - บวม
 - ปวดรุนแรง
 - อักเสบ
 - ก้อนบวมมีไตแข็งรอบทวารหนัก
ควรพบแพทย์เมื่อไร
                    ควรพบแพทย์หากมีเลือดออกทางทวารหนัก หรืออาการไม่ดีขึ้นหลังจากรักษาตัวเอง 1 สัปดาห์ โรคริดสีดวงทวารอาจไม่ใช่สาเหตุของอาการในกรณีที่การขับถ่ายเปลี่ยนไป สีหรือลักษณะของอุจจาระแปลกไป โรคอื่น ๆ เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งทวารหนักก็อาจทำให้มีเลือดออกทางทวารหนัก
 หากรู้สึกวิงเวียน หน้ามืด และเลือดออกทางทวารหนักจำนวนมาก ควรพบแพทย์ทันที
สาเหตุ
                   เมื่อแรงดันในทวารหนักสูงขึ้น เส้นเลือดรอบทวารหนักจะคั่งเลือดและยืดขยายโตขึ้น ทำให้เกิดโรคริดสีดวงทวาร แรงดันในทวารหนักจะเพิ่มขึ้นเมื่อ
 - เบ่งอุจจาระ
 - นั่งถ่ายอุจจาระเป็นเวลานาน
 - ท้องผูกหรือท้องเสียเรื้อรัง
 - เป็นโรคอ้วน
 - ตั้งครรภ์
 - มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก
 - ไม่ทานอาหารที่มีใยอาหารสูง
 - ยกและหิ้วของหนักเป็นประจำ
ปัจจัยเสี่ยง
                     เมื่ออายุมากขึ้น เนื้อเยื่อบริเวณลำไส้ตรงรอบ ๆ เส้นเลือดทวารหนักเริ่มไม่แข็งแรง ยืดออก เพิ่มปัจจัยเสี่ยงของโรคริดสีดวงทวาร ในหญิงตั้งครรภ์น้ำหนักของทารกในครรภ์จะเพิ่มแรงกดทับบนทวารหนัก ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคริดสีดวงทวารมากขึ้น
ภาวะแทรกซ้อน
               มักไม่ค่อยพบภาวะแทรกซ้อน แต่อาจเกิดภาวะดังต่อไปนี้ได้ 
โลหิตจางหรือภาวะซีด
                      ถ้ามีการเสียเลือดในปริมาณมากบ่อย ๆ จะทำให้ร่างกายขาดเซลล์เม็ดเลือดแดงที่จะนำออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อส่วนอื่นของร่างกายได้เพียงพอ แต่ภาวะนี้เกิดขึ้นได้น้อย
ริดสีดวงทวารอักเสบที่มีภาวะขาดเลือดร่วมด้วย
                     ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดเป็นอย่างมากจากการขาดเลือดไปเลี้ยงริดสีดวงภายใน
ลิ่มเลือด
                    ภาวะห้อเลือดที่บริเวณปากทวารเกิดขึ้นจากลิ่มเลือด ซึ่งทำให้เกิดอาการปวดอย่างรุนแรง อาจต้องกรีดและระบายลิ่มเลือดออก

การป้องกัน
                    โรคริดสีดวงทวารป้องกันได้ด้วยการทำให้อุจจาระอ่อนนุ่มอยู่เสมอ สิ่งที่ผู้ป่วยทำได้เพื่อป้องกันและบรรเทาความรุนแรงของอาการ ได้แก่
 - เพิ่มการรับประทานอาหารที่มีกากใย เพื่อให้อุจจาระอ่อนนุ่มและเพิ่มปริมาตรอุจจาระ ช่วยให้ไม่ต้องเบ่งถ่าย อย่างไรก็ตาม ควรเริ่มเพิ่มปริมาณผัก ผลไม้ ธัญพืชอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อป้องกันอาการท้องอืดจากก๊าซในลำไส้
 - ดื่มน้ำสะอาดหรือเครื่องดื่มอื่น ๆ (เว้นแอลกอฮอล์) 6-8 แก้วต่อวัน เพื่อช่วยให้อุจจาระอ่อนนุ่ม
 - ปริมาณใยอาหารแต่ละวันที่ควรได้รับ คือ 20-30 กรัม แต่คนส่วนใหญ่มักรับประทานไม่เพียงพอ ผลิตภัณฑ์เสริมใยอาหารสามารถช่วยบรรเทาอาการเลือดออกทางทวารหนักและอาการอื่น ๆ ของโรคริดสีดวงทวารหนักได้ ควรดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว เมื่อรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมใยอาหารเพื่อป้องกันภาวะท้องผูก
 - ไม่เบ่งถ่ายหรือกลั้นหายใจเวลาขับถ่าย เพื่อป้องกันการเพิ่มแรงดันภายในลำไส้ตรงส่วนล่าง
 - ไม่ควรกลั้นหรือไม่เข้าห้องน้ำเมื่อรู้สึกอยากขับถ่าย เพราะจะทำให้อุจจาระแห้งแข็ง
 - การออกกำลังกายช่วยให้ลำไส้ขยับบีบตัวบ่อยขึ้น เพิ่มความอยากถ่ายอุจจาระ ลดอาการท้องผูก
 - จำกัดเวลานั่งขับถ่าย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะคั่งเลือดเป็นเวลานานในเส้นเลือดทวารหนัก
การตรวจวินิจฉัย
                    แพทย์สามารถตรวจวินิจฉัยโรคริดสีดวงภายนอกด้วยตาเปล่า แต่โรคริดสีดวงภายในจำเป็นต้องตรวจวินิจฉัยทางทวารหนักและลำไส้ตรง
 - การตรวจทางทวารหนัก
 แพทย์จะใส่ถุงมือยางและทาเจลหล่อลื่นก่อนสอดนิ้วผ่านรูทวาร เพื่อคลำหาก้อนเนื้อในลำไส้ตรง
 - การส่องกล้องตรวจทวารหนักและลำไส้ตรง
 เป็นการตรวจด้วยการส่องกล้อง โดยใช้กล้องชนิดต่าง ๆ เช่น anoscope, proctoscope หรือ sigmoidoscopy เพื่อตรวจส่วนปลายของลำไส้ใหญ่ซึ่งคลำไม่ถึงหรือไม่พบจากการตรวจด้วยนิ้วทางทวารหนัก แพทย์อาจทำการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่เพื่อตรวจลำไส้ใหญ่ทั้งหมดในกรณีที่
 - แพทย์สงสัยว่าอาการเกิดจากโรคอื่นของระบบทางเดินอาหาร
 - มีปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
 - ผู้ป่วยวัยกลางคนและยังไม่ได้รับการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่
การรักษา
- การดูแลตัวเองที่บ้าน
 การดูแลรักษาตัวเองที่บ้านสามารถทำได้หากอาการไม่รุนแรง
 - เพิ่มอาหารกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช เพื่อเพิ่มปริมาตรของอุจจาระและความอ่อนนุ่ม ทำให้ไม่ต้องเบ่งถ่าย ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการ แต่ควรเพิ่มการรับประทานใยอาหารทีละน้อยเพื่อป้องกันอาการท้องอืด
 - ใช้ครีมหรือยาสอดที่มีสารไฮโดรคอร์ติโซน หรือแผ่นแปะที่มีสารสกัดวิชเฮเซล หรือยาชา
 - นั่งแช่น้ำอุ่นในถาดที่วางบนโถสุขภัณฑ์เป็นเวลา 10-15 นาที 2-3 ครั้งต่อวัน
 - รับประทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการ
 การดูแลตัวเองที่บ้านสามารถช่วยรักษาอาการได้ภายใน 7 วัน หากอาการไม่ดีขึ้น หรือมีอาการปวดและเลือดออกมากขึ้น ควรพบแพทย์โดยทันที
- การใช้ยา
 หากอาการไม่รุนแรง สามารถใช้แผ่นแปะ ครีม ยาทาขี้ผึ้ง หรือยาสอดที่มีสารกสัดวิชเฮเซลหรือสารไฮโดรคอร์ติโซนเพื่อบรรเทาอาการ อย่างไรก็ตาม การใช้ครีมที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์นาน ๆ จะทำให้ผิวหนังบางลง จึงไม่ควรใช้นานเกิน 7 วัน เว้นในกรณีที่แพทย์แนะนำ
- การผ่าตัดลิ่มเลือดในริดสีดวงทวารภายนอก
 หากมีอาการห้อเลือดหรือลิ่มเลือดที่สร้างความเจ็บปวด การผ่าตัดโดยใช้ยาชาเฉพาะที่สามารถบรรเทาอาการปวดได้ทันที แต่การผ่าตัดจะได้ผลดีเมื่อทำภายใน 72 ชั่วโมงแรกหลังเกิดลิ่มเลือด
- หัตถการการรักษาแบบเจ็บตัวน้อย
 หัตถการเพื่อรักษาโรคริดสีดวงทวารที่มีอาการและมีเลือดออกบ่อยมีหลายวิธี โดยที่ผู้ป่วยไม่ต้องนอนที่โรงพยาบาลและไม่จำเป็นต้องดมยาสลบหรือใช้ยาระงับความรู้สึก
การใช้ยางรัด
                    เพื่อตัดการส่งเลือดไปยังริดสีดวงทวารหนักภายในโดยการรัดยาง 1-2 เส้นรอบหัวริดสีดวง เพื่อให้หัวเล็กลงและหลุดออกภายใน 1 สัปดาห์
การฉีดยารักษาเส้นเลือดขอดริดสีดวงทวาร
 ฉีดสารเคมีเพื่อให้เนื้อเยื่อริดสีดวงหดตัว วิธีนี้ไม่เจ็บหรือเจ็บเล็กน้อย แต่ประสิทธิภาพน้อยกว่าการใช้ยางรัด
หัตถการที่ทำให้เนื้อเยื่อหดยุบตัว
                   เป็นหัตถการที่ใช้ความร้อนจากแสง เลเซอร์ หรืออินฟราเรด เพื่อทำให้หัวริดสีดวงภายในขนาดเล็กที่มีเลือดออกหดยุบและแข็งตัวขึ้น ซึ่งอาจทำให้ไม่สบายตัวและมีผลข้างเคียงบ้าง
- การผ่าตัด
 โดยปกติแล้วไม่จำเป็นต้องทำการผ่าตัด เว้นแต่ว่าหัวริดสีดวงมีขนาดใหญ่หรือการรักษาวิธีอื่นไม่ได้ผล แพทย์จะแนะนำ
การผ่าตัด
 การผ่าตัดนั้นทำได้หลายวิธี แพทย์อาจใช้การดมยาสลบ การฉีดยาชาเข้าช่องน้ำไขสันหลัง หรือยาระงับความรู้สึกเฉพาะที่พร้อมยาทำให้ง่วงหลับ การผ่าตัดเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุดในการรักษาโรคริดสีดวงระยะรุนแรงหรือเป็นซ้ำ ปัญหาแทรกซ้อนที่พบบ่อย คือ ภาวะถ่ายปัสสาวะไม่ออกชั่วคราว หลังการผ่าตัดโดยการบล็อกหลัง ซึ่งอาจนำไปสู่การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะได้
 ยาหรือการนั่งแช่น้ำอุ่นช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดหลังการผ่าตัดได้
การเตรียมตัวก่อนพบแพทย์
                       ควรพบแพทย์หากทนทุกข์ทรมานจากโรคริดสีดวงทวาร แพทย์อาจจะแนะนำให้ตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมกับแพทย์ระบบทางเดินอาหารหรือศัลยแพทย์ด้านลำไส้ใหญ่และทวารหนัก เพื่อการวินิจฉัยรักษาเพิ่มเติม
- การเตรียมตัว
 ก่อนพบแพทย์ ให้สำรวจดูว่ามีเรื่องที่ต้องเตรียมตัวพิเศษหรือไม่ และให้จดบันทึกประเด็นต่อไปนี้
 - อาการของโรคและระยะเวลาที่เป็น
 - ลักษณะการขับถ่ายปกติ อาหารที่รับประทานประจำ รวมถึงปริมาณใยอาหาร
 - ชนิดและขนาดของยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่รับประทานอยู่
 - คำถามอื่นที่อาจมี
ตัวอย่างคำถามที่ผู้ป่วยสามารถสอบถามแพทย์ได้
 - สาเหตุของโรคเกิดจากอะไร
 - โรคริดสีดวงทวารเป็นอาการที่เกิดขึ้นชั่วคราวหรือถาวร
 - มีภาวะแทรกซ้อนอะไรบ้าง
 - วิธีการรักษาที่ดีที่สุด
 - หากการรักษาไม่ได้ผล ควรทำอย่างไรต่อ
 - จำเป็นต้องผ่าตัดหรือไม่
 - ควรทำอะไรเพื่อบรรเทาอาการ
 - หากมีโรคประจำตัวร่วมกับโรคริดสีดวงทวารควรทำอย่างไร
ถามคำถามอื่น ๆ ที่มี
สิ่งที่แพทย์อาจจะถาม
 - มีอาการเจ็บปวดจากโรคริดสีดวงทวารหรือไม่
 - นิสัยการขับถ่ายเป็นอย่างไร
 - รับประทานอาหารที่มีกากใยสูงมากน้อยเท่าไร
 - อะไรที่ทำแล้วอาการดีขึ้น
 - อะไรที่ทำแล้วอาการแย่ลง
 - คนในครอบครัวมีประวัติป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งทวาร มะเร็งช่องทวารหนัก หรือโรคริดสีดวงทวารหรือไม่
 - การขับถ่ายเปลี่ยนไปบ้างหรือไม่
 - ถ่ายเป็นเลือดหรือไม่ หรือมีเลือดหยดลงในโถสุขภัณฑ์หรือบนกระดาษทิชชูหรือไม่
 - ปริมาณและลักษณะสีของเลือดที่ออก
สิ่งที่สามารถทำได้ก่อนวันนัดพบแพทย์
               ก่อนพบแพทย์ ผู้ป่วยสามารถบรรเทาอาการได้โดยรับประทานผัก ผลไม้ ธัญพืช และดื่มน้ำสะอาด 6-8 แก้วต่อวัน
ขอขอบคุณข้อมูล : นพ.บัณฑิต สุนทรเลขา ศัลยแพทย์ทั่วไปและผู้ชำนาญการด้านการผ่าตัดช่องท้องผ่านกล้อง
 ขอขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล :https://www.medparkhospital.com/
 
  
	 
 
  
  
  
  
  
  
  
  
  
 
