
โรคที่เกิดในผู้หญิง นับวันยิ่งมีความซับซ้อนและรุนแรงมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนควรให้ความสำคัญและใส่ใจ เพื่อหาวิธีป้องกัน และหนึ่งในโรคที่พบบ่อยในผู้หญิงก็คือ “ซีสต์” ซึ่งวันนี้เราจะมาทำความรู้จักโรคนี้ให้มากขึ้น
ซีสต์คืออะไร?
นพ.ชาญชัย เลาหประสิทธิพร แพทย์ที่ปรึกษาศูนย์สุขภาพหญิง โรงพยาบาลพญาไท 3 ได้อธิบายว่า “ซีสต์” มาจากภาษาอังกฤษว่า “cyst” มีความหมายว่า “ถุงน้ำ” ดังนั้น ไม่ว่าอะไรก็ตามที่มีเปลือกและมีน้ำหรือของเหลวภายในก็จะเรียกว่า “ซีสต์” เหมือนกันทั้งหมด
ซีสต์รังไข่ เกิดขึ้นได้อย่างไร?
อวัยวะทุกอย่างภายในร่างกายของคนเรามีโอกาสเกิดซีสต์ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นผิวหนัง ไขมัน กระดูก อวัยวะภายใน หรือแม้กระทั่งสมองก็มีซีสต์เกิดขึ้นได้ ส่วนคุณผู้หญิงก็จะมีความพิเศษมากกว่าผู้ชาย ตรงที่มีอวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง โดยเฉพาะมีรังไข่ที่มีโอกาสเกิดซีสต์ได้บ่อย ยิ่งเมื่อเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ก็จะเกิดซีสต์หรือถุงน้ำรังไข่ ซึ่งจะโตแล้วยุบหายไปตามรอบเดือนจากการตกไข่เป็นปกติได้
ประเภทของถุงน้ำรังไข่
ถุงน้ำรังไข่หรือซีสต์รังไข่มี 3 ประเภท คือ
1.ฟังค์ชั่นนัล ซีสต์ (Functional Cyst) คือ ถุงน้ำรังไข่ที่เกิดจากการทำงานตามปกติของรังไข่เพื่อสร้างไข่ที่เป็นเซลล์สืบพันธุ์ของฝ่ายหญิง จะเป็นถุงน้ำที่โตขึ้นแล้วแตกทำให้เซลล์ไข่ไหลออกมา หลังจากนั้นถุงน้ำนี้ก็จะค่อยๆ ยุบตัวไปเอง
2.เนื้องอกถุงน้ำรังไข่ (Ovarian Tumor หรือ Ovarian Cyst) คือ เนื้องอกรังไข่ชนิดที่มีของเหลวภายใน ซึ่งอาจเป็นเนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรงที่ไม่ใช่มะเร็ง หรือชนิดร้ายแรงที่เป็นมะเร็งก็ได้ โดยมากเนื้องอกแต่ละชนิดมักจะมีลักษณะเฉพาะที่พอจะบอกได้ว่าเป็นชนิดใด เช่น Dermoid Cyst (ถุงน้ำเดอร์มอยด์) ซึ่งภายในถุงน้ำมักจะมีน้ำ ไขมัน เส้นผม กระดูกและฟัน เมื่อเอกซเรย์หรือตรวจอัลตราซาวด์ดู ก็มักจะบอกได้ว่าเป็นเนื้องอกชนิดนี้ ส่วนเนื้องอกถุงน้ำชนิดที่เป็นมะเร็งบางชนิด จะมีการสร้างสารเคมีที่ตรวจพบว่ามีปริมาณสูงมากๆ ในกระแสเลือดได้ เช่น CA 125 ก็สามารถบ่งบอกล่วงหน้าได้ว่าน่าจะเป็นมะเร็ง
3.ถุงน้ำที่คล้ายเนื้องอก (Tumor like condition) คือ ถุงน้ำที่เกิดจากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ที่เกิดขึ้นที่รังไข่ เมื่อมีรอบเดือนเยื่อบุโพรงมดลูกนี้ก็จะมีเลือดซึมออกมาสะสมในถุงน้ำนี้เรื่อยๆ จนเป็นเลือดเก่าๆ ข้นๆ สีคล้ายช็อกโกแลต จึงเรียกว่า ช็อกโกแลตซีสต์ (Chocolate Cyst)
สัญญาณเตือนอาการซีสต์รังไข่ที่ควรสังเกต
นพ.ชาญชัยได้ให้ความรู้เกี่ยวกับ “อาการเตือนของซีสต์รังไข่” ในผู้หญิงว่า ส่วนใหญ่ไม่มีสัญญาณเตือนหรือมีอาการใดๆ และโดยมากจะตรวจพบก็เมื่อคนไข้เข้ามาตรวจสุขภาพประจำปี หรือมาตรวจพบโดยบังเอิญเมื่อมีอาการของโรคอื่นๆ แต่หากมีอาการจะสามารถสังเกตได้ ดังนี้
-มีอาการปวดท้องน้อย และถ้าปวดสัมพันธ์กับรอบเดือนก็อาจสงสัยว่าจะมีช็อกโกแลตซีสต์
-บางรายอาจรู้สึกว่าปัสสาวะบ่อยขึ้น เนื่องจากซีสต์โตพอสมควรและไปเบียดกระเพาะปัสสาวะ
-บางรายแค่มีอาการหน่วงๆ ท้องน้อย
-บางคนไม่มีอาการเลย แต่รู้สึกหรือเข้าใจไปว่ามีหน้าท้องโตเพราะอ้วนก็ได้
-บางรายมีอาการปวดท้องน้อยเฉียบพลันจากขั้วถุงน้ำรังไข่บิด หรือถุงน้ำรังไข่แตกก็ได้
-บางคนอาจมีประจำเดือนผิดปกติ คือมามาก มากะปริบกะปรอย ปวดประจำเดือนมากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละเดือน
ทั้งนี้ ในกรณีร้ายแรงที่ถุงน้ำแตกออกและมีเส้นเลือดฉีกขาด อาจทำให้ตกเลือดในช่องท้องได้ ซึ่งเสี่ยงต่ออันตรายและมีโอกาสเสียชีวิต ทำให้เห็นได้ว่าโรคนี้แม้ไม่ใช่มะเร็งร้าย แต่ก็สามารถก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพและเกิดอันตรายได้ คุณผู้หญิงจึงควรให้ความสนใจ หากมีอาการผิดปกติในข้อใดข้อหนึ่งดังที่ได้กล่าวไป ควรพบสูติ-นรีแพทย์ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงจะได้รีบรักษา
วิธีการตรวจ หากสงสัยว่าเป็นซีสต์รังไข่หรือมีอาการปวดท้องน้อย
ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสุขภาพทั่วไป หรือตรวจเพราะมีอาการปวดท้องน้อย ถ้าผู้ป่วยยังเด็กหรือยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ แพทย์มักจะตรวจโดยใช้การอัลตราซาวด์ที่ท้องน้อย โดยให้ผู้ป่วยกลั้นปัสสาวะให้มีน้ำปัสสาวะในกระเพาะปัสสาวะมากๆ เสียก่อน จึงจะเห็นมดลูกและรังไข่ได้ชัดเจน บางรายอาจจำเป็นต้องตรวจอัลตราซาวด์ทางช่องคลอดหรือทางทวารหนัก เพื่อการวินิจฉัยที่แม่นยำขึ้นก็ได้ ซึ่งหัวตรวจอัลตราซาวด์ที่ใช้ตรวจทางช่องคลอดหรือทวารหนักในปัจจุบันจะเป็นหัวตรวจเล็กๆ เท่านิ้วชี้หรือนิ้วหัวแม่มือเท่านั้น จึงไม่ทำให้ผู้เข้ารับการตรวจรู้สึกเจ็บ
นอกจากแพทย์จะตรวจภายในและอัลตราซาวด์แล้ว การซักประวัติของอาการที่ผิดปกติต่างๆ ประวัติการมีประจำเดือนก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการประกอบการวินิจฉัยโรค
ถุงน้ำรังไข่…ใช่มะเร็งหรือเปล่า ?
ถึงแม้ว่าถุงน้ำรังไข่จะมีโอกาสกลายเป็นมะเร็งได้ค่อนข้างน้อย แต่แพทย์ก็ต้องระวังและรอบคอบในการตรวจวินิจฉัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้หญิงที่มีปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งรังไข่ ได้แก่ มีประวัติว่าคนในครอบครัวเป็นมะเร็งรังไข่ มีประวัติเคยเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ หรือการอัลตราซาวด์พบลักษณะของถุงน้ำขอบไม่เรียบ พบน้ำในช่องท้อง เมื่อแพทย์สงสัยก็จะต้องตรวจเพิ่มเติมในเรื่องของมะเร็งต่อไป
เมื่อพบถุงน้ำรังไข่แล้วจะรักษาอย่างไร ?
-กรณีที่สงสัยว่าจะเป็นถุงน้ำรังไข่ชนิด Functional Cyst แพทย์ก็จะนัดตรวจติดตามว่าจะยุบไปเองหรือไม่ บางรายแพทย์อาจจะให้รับประทานยาคุมกำเนิด หรือฉีดยาคุมกำเนิดสักระยะ แล้วนัดมาตรวจซ้ำ ถ้าซีสต์ไม่ยุบหรือโตขึ้น แสดงว่าไม่ใช่ Functional Cyst ก็จะให้การรักษาหรือผ่าตัดออกนั่นเอง
-กรณีที่ต้องผ่าตัดฉุกเฉิน เช่น ถุงน้ำรังไข่แตก ถุงน้ำรังไข่มีขั้วบิด เหล่านี้เกิดได้ทั้ง Functional Cyst และเนื้องอกถุงน้ำรังไข่ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดมาก และต้องรับการผ่าตัดรักษาฉุกเฉิน ยกเว้นในรายที่ Functional Cyst แตกที่เลือดออกในท้องไม่มาก อาจสังเกตอาการภายในโรงพยาบาล ถ้าอาการดีขึ้นก็กลับบ้านได้
-กรณีที่ต้องผ่าตัดไม่ฉุกเฉิน เมื่อแพทย์ตรวจจนมั่นใจแล้วว่าเป็นซีสต์ที่รังไข่ชนิดที่ไม่ใช่ Functional Cyst เช่น ช็อกโกแลตซีสต์ขนาดใหญ่ หรือมีผลต่อการมีบุตรยาก ซีสต์ที่เป็นเนื้องอกรังไข่ เป็นต้น แพทย์ก็จะวางแผนการรักษาว่าจะผ่าตัดอย่างไร เช่น ผ่าตัดเปิดหน้าท้องตามปกติ หรือใช้วิธีผ่าตัดแบบส่องกล้อง และจะผ่าตัดเลาะเอาซีสต์ออกอย่างเดียวดีหรือตัดรังไข่ทั้งข้าง หรือทั้ง 2 ข้าง หรือจำเป็นต้องตัดมดลูกด้วยหรือไม่ เหล่านี้ขึ้นอยู่กับอายุผู้ป่วย ชนิดและขนาดของซีสต์ ความจำเป็นที่จะมีบุตรได้อีก เป็นต้น
วิธีผ่าตัดถุงน้ำรังไข่ผ่านกล้องหรือส่องกล้อง
การผ่าตัดแบบส่องกล้องเป็นพัฒนาการทางเทคโนโลยีเพื่อช่วยในการผ่าตัดในที่แคบๆ ได้ง่ายขึ้น เสียเลือดน้อยลง และผู้ป่วยมีอาการเจ็บแผลผ่าตัดน้อยลง ฟื้นตัวและกลับบ้านไปทำงานได้เร็วขึ้น
อุปกรณ์สำคัญของการผ่าตัดแบบส่องกล้อง ได้แก่ กล้องและเลนส์ขนาดเล็กๆ (ประมาณ 3-5 มม.) ส่งสัญญาณเข้าจอภาพ แพทย์จะเห็นภาพขยายที่ชัดเจนกว่าการดูด้วยตาเปล่า และมีเครื่องมือเล็กๆ ที่ใช้ในการทำผ่าตัด เช่น เครื่องมือจับเนื้อเยื่อ เครื่องมือจี้ห้ามเลือด เครื่องมือตัดหรือเย็บเนื้อเยื่อ นอกจากนั้นยังต้องใช้เครื่องมือปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อให้ช่องท้องขยาย จะได้มีพื้นที่ในการทำผ่าตัดได้ เป็นต้น
หลังผ่าตัดผู้ป่วยจะมีแผลที่หน้าท้อง 3 จุด ขนาด 0.5-1 ซม. ผู้ป่วยจะลุกเดินได้ รับประทานอาหารได้ และกลับบ้านได้ในวันรุ่งขึ้น จากนั้นประมาณ 1-2 สัปดาห์ ก็สามารถไปทำงานได้ตามปกติหรือแม้แต่จะเล่นกีฬาก็ทำได้ เช่นกัน
หัวใจสำคัญของการผ่าตัดซีสต์รังไข่ผ่านกล้อง
ในทุกการผ่าตัดย่อมมีความเสี่ยง เช่นกันกับการผ่าตัดซีสต์หรือถุงน้ำรังไข่ นพ.ชาญชัย เลาหประสิทธิพร หัวหน้าศูนย์สุขภาพหญิง โรงพยาบาลพญาไท 3 ได้กล่าวถึงหัวใจสำคัญของการ ไว้ 3 ข้อ คือ
1.อุปกรณ์ที่ใช้ในการผ่าตัดผ่านกล้อง ต้องพร้อมและอยู่ในสภาพดี
2.แพทย์และทีมงานที่ช่วยผ่าตัดผ่านกล้องต้องผ่านการฝึกฝนการผ่าตัดผ่านกล้องมาแล้วจนเชี่ยวชาญเป็นอย่างดี
3.แพทย์ผู้ทำผ่าตัด ต้องพิจารณาเลือกเคสที่เหมาะสมว่าจะสามารถทำการผ่าตัดผ่านกล้องแล้วได้ประโยชน์แก่คนไข้มากกว่าการทำผ่าตัดตามปกติ และสามารถให้คำแนะนำถึงข้อดี- ข้อเสียในการทำผ่าตัดปกติหรือผ่าตัดผ่านกล้องในรายนั้นๆ จนได้ข้อสรุปร่วมกันระหว่างแพทย์ผู้ทำการรักษากับคนไข้ก่อนเสมอ
หลังผ่าตัดซีสต์รังไข่ควรปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อให้หายดี ?
-ควรงดกิจกรรมที่ต้องออกแรงหน้าท้องประมาณ 6 สัปดาห์
-ห้ามให้แผลเปียกน้ำจนกว่าแผลจะหายสนิท (ประมาณ 7 วัน)
-ระหว่างพักฟื้นควรออกกำลังกายที่ไม่หักโหม เช่น การเดิน
-รับประทานยาตามแพทย์สั่งและอย่าลืมพบแพทย์ตามนัด
-หากมีความผิดปกติ เช่น มีไข้ แผล บวม แดง แฉะ ปวดท้อง มากขึ้น ควรมาพบแพทย์ทันทีไม่ต้องรอให้ถึงกำหนดนัด
มีเพศสัมพันธ์…หลังผ่าตัดซีสต์รังไข่ ได้หรือไม่?
หลังการผ่าตัด แพทย์มักแนะนำให้งดการมีเพศสัมพันธ์ไว้ก่อนประมาณ 4-6 สัปดาห์ เมื่อร่างกายฟื้นตัวดี แพทย์ตรวจแล้วว่าปลอดภัย ก็สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติ
ถ้ากำลังตั้งครรภ์แล้วมีถุงน้ำรังไข่จะต้องทำอย่างไร ?
ถ้าหากตรวจพบถุงน้ำรังไข่ที่มีขนาดใหญ่ในขณะตั้งครรภ์จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการหมุนตัวบิดขั้ว ถ้าไม่ผ่าตัดจะมีโอกาสแท้งได้ แพทย์มักจะวางแผนการผ่าตัดในไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์ เพราะมีความปลอดภัยต่อทารกมากกว่าการตั้งครรภ์ในระยะอื่นๆ ถ้าถุงน้ำรังไข่มีขนาดเล็ก (ไม่เกิน 5 ซม.) และลักษณะที่ตรวจพบโดยอัลตราซาวด์ค่อนข้างมั่นใจว่าไม่น่าจะเป็นมะเร็งรังไข่ ก็สามารถตรวจติดตามขณะตั้งครรภ์ และพิจารณาการรักษาขณะผ่าตัดคลอดหรือหลังคลอด ตามแต่ดุลยพินิจของแพทย์
จะป้องกันการเกิดถุงนำรังไข่ได้อย่างไร ?
สาเหตุถุงน้ำรังไข่ที่ไม่ใช่ Functional Cyst ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่ามีสาเหตุจากอะไร บางชนิดเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์ แต่ในปัจจุบันมีข้อมูลที่เชื่อถือได้ว่า ต้นเหตุของเนื้องอกถุงน้ำรังไข่ที่เป็นมะเร็ง ส่วนใหญ่เกิดมาจากเซลล์เยื่อบุของท่อนำไข่ที่มีการกลายเป็นเซลล์ผิดปกติหลุดมาติดที่รังไข่ และเติบโตต่อไปเป็นมะเร็งรังไข่ จากข้อมูลทางสถิติพบว่า ผู้หญิงที่ทำหมันแล้ว จะมีโอกาสเป็นมะเร็งถุงน้ำรังไข่น้อยกว่าผู้หญิงที่ยังไม่ได้ทำหมัน ดังนั้น เมื่อผู้หญิงที่ไม่ต้องการมีบุตรแล้ว หรือไม่สามารถมีบุตรได้แล้ว ถ้ามีการรักษาใดๆ ที่จำเป็นต้องผ่าตัดในช่องท้อง ก็มักจะตัดท่อนำไข่ทั้ง 2 ข้างออกด้วยเลย เพื่อป้องกันมะเร็งรังไข่ในอนาคต
ทั้งนี้ การรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เป็นการป้องกันโรคได้ดีที่สุด ควรหมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดูแลให้มีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ก็จะช่วยให้ร่างกายของคุณผู้หญิงสร้างฮอร์โมนได้อย่างสมดุล
แม้ว่าคุณผู้หญิงจะไม่มีอาการผิดปกติใดๆ แต่จากที่กล่าวมาแล้วว่า ถุงน้ำรังไข่ระยะแรกๆ ผู้หญิงส่วนใหญ่จะไม่รู้ตัวว่าเป็น จะรู้ตัวก็ต่อเมื่อก้อนใหญ่ขึ้นหรือเริ่มมีภาวะแทรกซ้อนแล้ว การตรวจคัดกรองด้วยการทำอัลตราซาวด์และการตรวจภายในร่วมด้วยจะสามารถตรวจหาซีสต์และโรคของระบบอวัยวะสืบพันธุ์อื่นๆ ได้ในคราวเดียวกัน เช่น ตรวจหามะเร็งปากมดลูก เป็นต้น ดังนั้นคุณผู้หญิงจึงควรเข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นการป้องกันโรคร้าย การตรวจสุขภาพโดยละเอียดว่ามีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่ จะช่วยให้เกิดการรักษาให้หายขาดได้ดีก่อนที่จะลุกลามเกินแก้
ขอขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล : https://www.phyathai.com/th/article/1596-%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B9%88?srsltid=AfmBOootGXidVTr31_Si0WVEPkhW5_