
ปลายประสาทอักเสบ หรือที่หลายคนเรียกว่า “เส้นประสาทปลายทางอักเสบ” คือโรคที่ดูเหมือนเล็กน้อยในช่วงแรก แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง ทั้งในเรื่องการเคลื่อนไหว ความรู้สึก และคุณภาพชีวิตในระยะยาว บทความนี้จะพาไปรู้จักกับโรคปลายประสาทอักเสบอย่างละเอียด ตั้งแต่อาการ สาเหตุ วิธีรักษา และความอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อให้คุณสามารถเฝ้าระวัง และเข้ารับการดูแลได้อย่างทันท่วงที
ปลายประสาทอักเสบ คืออะไร ?
ปลายประสาทอักเสบ คือ ภาวะที่เส้นประสาทส่วนปลาย(เส้นประสาทที่อยู่นอกสมองและไขสันหลัง) เกิดการอักเสบหรือถูกทำลาย ทำให้การส่งสัญญาณระหว่างสมอง ไขสันหลัง และส่วนอื่นๆของร่างกายผิดปกติไปอาการจึงอาจแสดงออกเป็นความรู้สึกปวด ชา เจ็บแปลบ แสบร้อน หรือสูญเสียการทำงานของอวัยวะที่เกี่ยวข้อง
เส้นประสาทส่วนปลายมีหน้าที่สำคัญ ได้แก่ ควบคุมกล้ามเนื้อ รับความรู้สึก และควบคุมระบบอัตโนมัติบางอย่าง เช่น ความดันเลือด เหงื่อ หากเส้นประสาทเหล่านี้เสียหายจะส่งผลต่อการทำงานของร่างกายในหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้ป่วยมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน จะยิ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดปลายประสาทอักเสบมากขึ้น
อาการเตือนของปลายประสาทอักเสบ
อาการของโรคนี้จะแตกต่างกันไปตามประเภทและตำแหน่งของเส้นประสาทที่ได้รับผลกระทบ โดยอาการที่พบได้บ่อย ได้แก่
1. อาการชาและเหน็บตามปลายมือปลายเท้า
ผู้ป่วยมักรู้สึกชาหรือเหน็บบริเวณนิ้วมือ นิ้วเท้า โดยเฉพาะช่วงกลางคืนหรือขณะพักผ่อน อาการเหล่านี้อาจเริ่มจากปลายมือปลายเท้าแล้วค่อย ๆ ลามขึ้นมาถึงแขนหรือขา
2. ความรู้สึกปวดแสบปวดร้อน
อาการปวดที่เกิดขึ้นมักมีลักษณะเฉพาะ เช่น ปวดแสบ ปวดร้อน หรือรู้สึกเหมือนถูกเข็มทิ่ม ซึ่งแตกต่างจากอาการปวดกล้ามเนื้อทั่วไป
3. กล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือเคลื่อนไหวลำบาก
เมื่อเส้นประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อได้รับผลกระทบ อาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าแขนหรือขาไม่มีแรง จับสิ่งของไม่ถนัด หรือเดินลำบาก
4. การทรงตัวไม่ดีหรือเดินเซ
ระบบประสาทมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการทรงตัว เมื่อเส้นประสาทส่งสัญญาณได้ไม่ดี อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการเดินเซ หกล้มง่าย หรือรู้สึกไม่มั่นคงขณะยืนหรือนั่ง
5. ความรู้สึกไวต่อการสัมผัสมากกว่าปกติ
ผู้ป่วยอาจรู้สึกเจ็บหรือไม่สบายเมื่อสัมผัสเบา ๆ หรือรู้สึกปวดระหว่างทำกิจกรรมที่ไม่ควรทำให้เกิดอาการปวด เช่น ปวดเท้าเมื่อลงน้ำหนักหรือเมื่ออยู่ใต้ผ้าห่ม
6. อาการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทอัตโนมัติ
ในบางกรณี ผู้ป่วยอาจมีอาการที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทอัตโนมัติ เช่น เหงื่อออกมากกว่าปกติ ปัญหาในการย่อยอาหาร หรือความดันเลือดต่ำ ซึ่งอาจทำให้รู้สึกวิงเวียนศีรษะหรือหน้ามืด
สาเหตุของโรคปลายประสาทอักเสบ
สาเหตุของโรคนี้มีความหลากหลายและซับซ้อน โดยสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มหลัก ๆ ดังนี้
1. โรคเบาหวาน
เบาหวานเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของโรคปลายประสาทอักเสบ โดยผู้ป่วยเบาหวานโดยส่วนใหญ่มีโอกาสเกิดภาวะนี้ เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงอย่างต่อเนื่องสามารถทำลายเส้นประสาทได้
2. ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน
โรคแพ้ภูมิตัวเอง สามารถทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำลายเส้นประสาทส่วนปลาย ส่งผลให้เกิดการอักเสบและความเสียหายต่อเส้นประสาท
3. การติดเชื้อ
การติดเชื้อบางชนิด เช่น งูสวัด ไวรัสตับอักเสบบีและซี HIV สามารถทำลายเส้นประสาทส่วนปลายโดยตรงหรือกระตุ้นการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่ทำลายเส้นประสาท
4. ได้รับสารพิษและยาบางชนิด
การสัมผัสสารพิษ เช่น ตะกั่ว ปรอท หรือสารเคมีในอุตสาหกรรม รวมถึงการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาเคมีบำบัด ยาต้านไวรัส อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อเส้นประสาทส่วนปลาย
5. ภาวะขาดสารอาหาร
การขาดวิตามินที่จำเป็นต่อการทำงานของระบบประสาท เช่น วิตามินบี 1 บี 6 และบี 12 สามารถนำไปสู่การเกิดโรคปลายประสาทอักเสบได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะโภชนาการไม่ดีหรือมีปัญหาในการดูดซึมสารอาหาร
6. การบาดเจ็บหรือแรงกดทับเส้นประสาท
การบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ การเล่นกีฬา หรือการทำงานที่มีการเคลื่อนไหวซ้ำ ๆ รวมถึงการกดทับเส้นประสาทจากท่าทางที่ไม่เหมาะสม เช่น การนั่งหรือยืนในท่าเดิมเป็นเวลานาน สามารถทำให้เส้นประสาทส่วนปลายได้รับความเสียหาย
แนวทางการรักษาโรคปลายประสาทอักเสบ
การรักษาโรคปลายประสาทอักเสบมีเป้าหมายหลักเพื่อบรรเทาอาการ ป้องกันการลุกลาม และฟื้นฟูการทำงานของเส้นประสาท โดยแนวทางการรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการ ดังนี้
1. การใช้ยา
- ยาแก้ปวดและยาเฉพาะทาง เช่น พาราเซตามอล (paracetamol) ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ซึ่งช่วยลดอาการปวดแสบปวดร้อนและความรู้สึกเสียวซ่าน
- ยาทาเฉพาะที่ เช่น ครีมหรือแผ่นแปะที่มีส่วนผสมของแคปไซซิน (capsaicin) หรือยาลิโดเคน (lidocaine) เพื่อบรรเทาอาการปวดเฉพาะจุด
- วิตามินบี การเสริมวิตามินบี โดยเฉพาะวิตามินบี 1, บี 6 และบี 12 เพื่อช่วยในการฟื้นฟูเส้นประสาทที่เสียหาย
2. การทำกายภาพบำบัด
การทำกายภาพบำบัดช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ปรับปรุงการทรงตัว และลดอาการปวด โดยอาจรวมถึงการออกกำลังกายเฉพาะส่วน การยืดกล้ามเนื้อ และการใช้เทคโนโลยี เช่น การกระตุ้นเส้นประสาทด้วยไฟฟ้าผ่านทางผิวหนัง
3. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการดูแลตนเอง
- ควบคุมโรคประจำตัว เช่น การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้เป็นเบาหวาน
- กินอาหารที่มีประโยชน์ อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ เช่น ผักใบเขียว ธัญพืชไม่ขัดสี และโปรตีนไขมันต่ำ
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเดิน ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน เพื่อส่งเสริมการไหลเวียนโลหิตและสุขภาพโดยรวม
- หลีกเลี่ยงสารพิษ เช่น การลดการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และหลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเคมีที่เป็นอันตราย
โรคปลายประสาทอักเสบอาจดูไม่รุนแรงในระยะแรก แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตอย่างรุนแรงได้ ตั้งแต่อาการปวดเรื้อรัง ไปจนถึงการสูญเสียการทำงานของมือหรือเท้าอย่างถาวร
การสังเกตอาการตั้งแต่เนิ่น ๆ และเข้ารับการตรวจจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จะช่วยให้สามารถวางแผนการรักษาได้ตรงจุด และลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว
ข้อมูลโดย
ผศ.พญ.ทรงสุดา รุ่งใสวัฒนา
ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ขอบคุณแหล่งที่มา