มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกคืออะไร ?
เยื่อบุโพรงมดลูก (Endometrium) คือเนื้อเยื่อที่บุอยู่บริเวณด้านในของโพรงมดลูก มีลักษณะเป็นชั้น ๆ ของเซลล์เยื่อบุ ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดรอบเดือนภายใต้อิทธิพลของฮอร์โมนเพศหญิง โดยเฉพาะฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการฝังตัวของตัวอ่อนในกรณีที่เกิดการปฏิสนธิ หากไม่มีการตั้งครรภ์ เยื่อบุดังกล่าวจะหลุดลอกออกมาเป็นประจำเดือน ซึ่งเป็นกระบวนการตามธรรมชาติของร่างกายเพศหญิงในวัยเจริญพันธุ์
มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกเกิดจากอะไร ใครบ้างที่เสี่ยง ?
มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกเกิดจากการที่เซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกมีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติอย่างต่อเนื่อง โดยการแบ่งเซลล์ที่มากเกินไป สามารถแพร่กระจายออกภายนอกมดลูก และส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย พัฒนาไปสู่การเกิดก้อนเนื้อร้าย (malignant tumor) ซึ่งในระยะแรกอาจจำกัดอยู่เฉพาะในมดลูก แต่หากไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัยหรือรักษาอย่างทันท่วงที เซลล์มะเร็งอาจลุกลามไปยังอวัยวะข้างเคียง เช่น ปากมดลูก รังไข่ ท่อนำไข่ หรือแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองและอวัยวะอื่นผ่านกระแสเลือดและระบบน้ำเหลืองได้
โดยข้อมูลทางระบาดวิทยาชี้ว่า มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกพบบ่อยในกลุ่มสตรีอายุ 50 ปีขึ้นไป หรือในวัยหมดประจำเดือน (postmenopausal women) การทราบปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้จะช่วยให้คุณประเมินความเสี่ยงของตนเอง และเข้ารับการตรวจคัดกรองได้อย่างทันท่วงที
- อายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป หรืออยู่ในช่วงวัยหมดประจำเดือน
- การมีน้ำหนักตัวเกินหรือเป็นโรคอ้วน ซึ่งส่งผลให้ร่างกายมีฮอร์โมนเอสโตรเจนที่สูงกว่าปกติ
- การใช้ฮอร์โมนทดแทนในวัยหมดประจำเดือน แบบที่มีเฉพาะเอสโตรเจน โดยไม่มีโปรเจสเตอโรนร่วม (Unopposed Estrogen Therapy) จะไปกระตุ้นให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวขึ้นและเพิ่มความเสี่ยงเป็นมะเร็ง
- ภาวะไข่ไม่ตกเรื้อรัง (Anovulation) เช่น ในผู้ป่วยกลุ่มโรคถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) ที่มีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงแต่มีโปรเจสเตอโรนไม่เพียงพอ
- ประจำเดือนมาตั้งแต่อายุน้อย หรือหมดประจำเดือนช้า และปล่อยให้ประจำเดือนขาดนาน ๆ ซึ่งการมีรอบเดือนต่อเนื่องนานทำให้มีช่วงเวลาที่เยื่อบุโพรงมดลูกสัมผัสกับฮอร์โมนเอสโตรเจนมากกว่าคนทั่วไป
- ภาวะมีบุตรยากหรือไม่เคยตั้งครรภ์ อาจส่งผลให้เยื่อบุโพรงมดลูกได้รับผลกระตุ้นจากฮอร์โมนเอสโตรเจนต่อเนื่อง โดยไม่มีการหยุดพัก ซึ่งต่างจากช่วงตั้งครรภ์ที่ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะสูงกว่า
- โรคเรื้อรังบางชนิด เช่น เบาหวาน หรือภาวะดื้ออินซูลิน และความดันโลหิตสูง ซึ่งมักพบร่วมกับภาวะอ้วน โดยอาจส่งผลให้เกิดความไม่สมดุลของฮอร์โมน
- การใช้ยา Tamoxifen ซึ่งใช้ในผู้ป่วยมะเร็งเต้านม อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้
- มีประวัติบุคคลในครอบครัวสายตรงเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก หรือเป็นโรคทางพันธุกรรมบางชนิด เช่น Lynch syndrome ซึ่งเป็นกลุ่มอาการทางพันธุกรรมที่ทำให้เพิ่มความเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งอื่น ๆ รวมถึงมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
สัญญาณเตือนมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกที่ผู้หญิงทุกคนไม่ควรมองข้าม
มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกสามารถตรวจพบได้ในระยะเริ่มต้น ดังนั้นจึงควรรีบพบแพทย์ หากมีอาการดังต่อไปนี้
- เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด ซึ่งเป็นอาการสำคัญที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเลือดออกหลังหมดประจำเดือน ไม่ว่าจะเป็นจุดเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือมีปริมาณมาก รวมถึงการมีเลือดออกระหว่างรอบเดือนในสตรีก่อนวัยหมดประจำเดือน
- ประจำเดือนมามากหรือมานานผิดปกติ ในสตรีก่อนหมดประจำเดือน
- ปวดท้องน้อยเรื้อรัง ปวดหน่วง หรือปวดท้องน้อยร่วมกับมีเลือดออกทางช่องคลอดที่ผิดปกติ
- ตกขาวที่มีลักษณะผิดไปจากปกติ เช่น มีเลือดปน มีกลิ่นเหม็น หรือเป็นมูกเลือด
- อาการอื่น ๆ ที่อาจพบได้ในระยะลุกลาม เช่น ปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ ปัสสาวะบ่อยหรือรู้สึกปวดขณะปัสสาวะ หรือน้ำหนักลด โดยไม่ทราบสาเหตุ คลำพบก้อนในช่องท้อง หรือท้องมีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างผิดปกติ รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หรือมีภาวะโลหิตจางจากการสูญเสียเลือดเรื้อรัง เนื่องจากเลือดออกผิดปกติเพิ่มทางช่องคลอด
การตรวจคัดกรองมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด
หากคุณอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือมีอาการผิดปกติดังที่กล่าวมา ควรรีบพบสูตินรีแพทย์เพื่อรับการตรวจคัดกรอง เพราะการตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะแรก ๆ เป็นการเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้ โดยแพทย์จะพิจารณาการตรวจที่เหมาะสม ดังนี้
- ซักประวัติสุขภาพ ตรวจร่างกาย และตรวจภายในเพื่อประเมินลักษณะของมดลูกและอวัยวะข้างเคียง
- อัลตราซาวด์ทางช่องคลอด (Transvaginal Ultrasound) เป็นการตรวจเบื้องต้นที่ใช้ในการคัดกรองความผิดปกติของโพรงมดลูก โดยแพทย์จะสอดหัวตรวจขนาดเล็กเข้าไปทางช่องคลอด เพื่อให้เห็นภาพของโพรงมดลูก มดลูก และรังไข่ ช่วยให้สามารถประเมินความหนาของเยื่อบุโพรงมดลูก รวมถึงตรวจหาก้อนเนื้อหรือความผิดปกติอื่น ๆ ได้อย่างชัดเจน การตรวจนี้เป็นหัตถการที่ทำได้ง่าย ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด กรณีพบความผิดปกติ แพทย์จะพิจารณาตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีอื่น ๆ ตามความเหมาะสม
- เก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อเยื่อบุโพรงมดลูก (Endometrial Biopsy) MRI, CT เป็นหัตถการในการเก็บเยื่อบุโพรงมดลูกเพื่อตรวจทางพยาธิวิทยา ปรับประโยค โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องวางยาสลบ จึงมีความปลอดภัยและไม่น่ากลัวอย่างที่หลายคนกังวล
- การขูดมดลูก (Dilatation and Curettage; D&C) เป็นหัตถการที่ใช้การขยายปากมดลูกและขูดเนื้อเยื่อจากผนังมดลูกเพื่อนำไปตรวจในห้องปฏิบัติการ มักใช้ในกรณีที่การเก็บตัวอย่างด้วยวิธีทั่วไปไม่สามารถให้ผลวินิจฉัยที่แน่ชัด หรือมีข้อบ่งชี้อื่น ๆ เช่น มีเลือดออกผิดปกติอย่างรุนแรง หรือสงสัยว่ามีความผิดปกติอื่น ๆ ในโพรงมดลูก โดยทั่วไปจะทำภายใต้การวางยาสลบ
การส่องกล้องโพรงมดลูก (Hysteroscopy)
เป็นการใช้กล้องส่องเข้าโพรงมดลูกโดยตรง สามารถมองเห็นความผิดปกติในโพรงมดลูกได้ชัดเจน และสามารถทำการผ่าตัดก้อน ติ่งเนื้อในโพรงมดลูก เนื้องอกในโพรงมดลูก และรักษาความผิดปกติในโพรงมดลูกได้อย่างแม่นยำที่สุด เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยและเก็บชิ้นเนื้อ
แนวทางการรักษามะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
การรักษามะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกมีหลายวิธี ซึ่งแพทย์จะพิจารณาจากระยะของโรค ชนิดของเซลล์มะเร็ง สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย และความต้องการของผู้ป่วยเอง โดยมีแนวทางการรักษาหลักดังนี้
- การผ่าตัด นับเป็นการรักษาหลักและสำคัญที่สุด แพทย์จะทำการผ่าตัดมดลูก รังไข่ และท่อนำไข่ออกทั้งหมด และอาจพิจารณาเลาะต่อมน้ำเหลืองบริเวณอุ้งเชิงกรานออกด้วย เพื่อเพิ่มกำหนดระยะตัวโรคและกำจัดเซลล์มะเร็งออกให้มากที่สุด โดยการผ่าตัดทำได้ทั้งแบบเปิดหน้าท้องและแบบส่องกล้องขึ้นอยู่กับความเหมาะสม
- รังสีรักษา (การฉายแสง) โดยใช้รังสีพลังงานสูงเข้าไปทำลายเซลล์มะเร็งที่อาจหลงเหลืออยู่หลังการผ่าตัด หรือในบางกรณีที่ไม่สามารถทำการผ่าตัดได้ อาจใช้รังสีรักษาเป็นทางเลือกหลักในการควบคุมโรคและบรรเทาอาการ โดยมีทั้งรังสีรักษาแบบใส่ในช่องคลอด การฝังแร่ และการฉายผ่านผิวหนังหน้าท้อง ขึ้นกับระยะของโรคต่าง ๆ
- การให้ฮอร์โมนบำบัด ใช้ในกรณีที่มะเร็งตอบสนองต่อฮอร์โมน โดยเฉพาะในผู้ป่วยมะเร็งระยะเริ่มต้นที่มีคุณสมบัติเหมาะสม และต้องการมีบุตรในอนาคต หรือในผู้ป่วยบางรายที่กลับมาเป็นมะเร็งซ้ำ
- เคมีบำบัด มักใช้ในกรณีที่มะเร็งมีการแพร่กระจายไปนอกมดลูก เซลล์บางชนิด หรือในมะเร็งชนิดที่รุนแรง เพื่อควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งและลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำ
- Targeted Therapy การใช้ยาพุ่งเป้าเพื่อรักษาโรคที่มียีนกลายพันธุ์ผิดปกติ เสริมหลังการผ่าตัด ให้ร่วมกับยาเคมีบำบัด หรือให้ในบางรายที่โรคกลับมาเป็นซ้ำ
- Combine Therapy พิจารณาการรักษาร่วมกันหลายวิธี ตามความเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย
ทั้งนี้ หลังจากการรักษาเสร็จสิ้น ผู้ป่วยจะต้องพบแพทย์ตามนัดหมายเพื่อประเมินผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง โอกาสในการหายขาด และเฝ้าระวังการกลับมาเป็นซ้ำ
รู้เร็ว รักษาได้ เพิ่มโอกาสรอด จากมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกเป็นภัยเงียบที่ผู้หญิงทุกคนควรตระหนัก แม้ไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลเกินไป แต่ควรเฝ้าระวังและใส่ใจในสัญญาณผิดปกติของร่างกาย โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง การตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอและการใส่ใจในสุขภาพของตนเองจะช่วยให้คุณสามารถรับมือกับโรคนี้ได้อย่างทันท่วงที
ขอบคุณข้อมูลจาก พญาไทพหลโยธิน
