
สิ่งที่ขาดไม่ได้เวลาออกไปท่องเที่ยวก็คือการได้ลิ้มรสอาหารจานเด็ดหรืออาหารประจำท้องถิ่นนั้น ๆ แต่จะทราบได้อย่างไรว่าอาหารนั้นสะอาดและไม่มีการปนเปื้อนของเชื้อโรค ซึ่งจะทำให้เกิดอาการท้องเสียและหมดสนุกกับการเดินทางได้
ท้องเสีย หรืออุจจาระร่วง เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือพยาธิ ในระบบทางเดินอาหาร ทำให้ถ่ายอุจจาระเหลวหรือถ่ายเป็นน้ำ ตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไปภายใน 24 ชม. โดยทั่วไปอาการท้องเสียมักเกิดขึ้นและอาจหายไปได้เองภายใน 2 - 3 วัน ในกรณีที่มีอาการรุนแรงอาจทำให้ร่างกายขาดน้ำจนอาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ตัวอย่างยาที่นิยมใช้สำหรับรักษาอาการท้องเสีย
1. ยาผงเกลือแร่ (ORS: Oral Rehydration Salt) เพื่อทดแทนการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ของร่างกาย จากการท้องเสีย หรืออาเจียน
คำแนะนำการใช้ยา
- ระวังการใช้ในผู้ป่วยโรคหัวใจและไต
- ไม่ควรดื่มเกลือแร่สำหรับผู้ออกกำลังกายเพื่อรักษาอาการท้องเสีย เพราะจะยิ่งกระตุ้นให้เกิดอาการท้องเสียมากขึ้นจากส่วนประกอบที่มีน้ำตาลและแร่ธาตุบางชนิดที่สูงกว่า
- ควรผสมผงเกลือแร่ ORS กับน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว
- ผงเกลือแร่ ORS ที่ผสมน้ำแล้วควรใช้ภายใน 24 ชั่วโมง หากดื่มไม่หมดให้ทิ้ง
- ค่อย ๆ จิบ ไม่ดื่มจนหมดในคราวเดียว เพราะอาจทำให้ลำไส้แปรปรวนและท้องเสียมากขึ้น
2. ยาถ่านคาร์บอน (Activated Charcoal) ที่จะเข้าไปช่วยดูดซับสารพิษและเชื้อโรคในลำไส้ก่อนจะขับออกมาพร้อมอุจจาระ
คำแนะนำการใช้ยา
- ห้ามใช้ในผู้ที่มีภาวะลำไส้อุดตัน หรือมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร
- ไม่สามารถใช้เป็นยาหยุดถ่ายได้ เนื่องจากยาไม่ได้มีผลฆ่าเชื้อโรคที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย
- กินยานี้ห่างจากยาอื่น ๆ อย่างน้อย 2 ชั่วโมง
- ยาอาจทำให้อุจจาระสีดำได้
3. ยาโลเพอราไมด์ (Loperamide) ใช้รักษาท้องเสียชนิดเฉียบพลันในระยะสั้นและรักษาท้องเสียในผู้ที่มีภาวะลำไส้แปรปรวน
คำแนะนำการใช้ยา
- ห้ามกินยานี้ในกรณีที่ถ่ายเป็นมูกเลือดและมีไข้สูง
- ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนกินยานี้
- ห้ามกินเกิน 6 เม็ดต่อวัน และห้ามกินติดต่อกันเกิน 2 วัน
4. ยาปฏิชีวนะ เช่น ยานอร์ฟล็อกซาซิน (Norfloxacin) ยาซิโพรฟล็อกซาซิน (Ciprofloxacin) เป็นต้น ใช้รักษาการติดเชื้อแบคทีเรียของลำไส้ใหญ่ ไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะมารับประทานเอง
คำแนะนำการใช้ยา
- ต้องอยู่ในการควบคุมดูแลของแพทย์หรือเภสัชกรเท่านั้น ไม่ควรซื้อยามากินเองเด็ดขาด
- ต้องกินให้ครบตามกำหนด ถึงแม้ว่าอาการป่วยจะดีขึ้นแล้วก็ยังคงต้องกินต่อเนื่อง
หากมีอาการท้องเสียรุนแรง เช่น อุจจาระมีมูกปน มีกลิ่นเหม็นผิดปกติคล้ายกุ้งเน่า คลื่นไส้ อาเจียนรุนแรง มีไข้สูงเกินกว่า 38.5 องศาเซลเซียส อ่อนเพลียมาก หรือมีอาการนานกว่า 48 ชั่วโมง และผู้ที่มีโรคประจำตัว รวมทั้งเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี และผู้สูงอายุ ต้องรีบมาพบแพทย์ทันที ไม่ควรรักษาเอง เพราะอาการอาจรุนแรงเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ข้อมูลอ้างอิง
ท้องร่วง ท้องเสีย ดูแลตัวเองอย่างไร (คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่)
ดูแลเบื้องต้นเมื่อท้องเสีย (คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล)
ท้องเสีย ซ่อมได้ ไม่ยาก (คณะเภสัชศาสตร์
ท้องเสีย จำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะหรือไม่ (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา)
ขอบคุณข้อมลจาก https://oryor.com/media/infoGraphic/media_printing/2270
