รพ.จุฬาภรณ์ เตือนภาวะ "หัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว" หรือ AF ชี้เป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ ทำเสียชีวิตได้สูง ซ้ำทำให้เกิดลิ่มเลือด ส่อเป็นอัมพาตได้แนะอายุ 40 ปีขึ้นไปตรวจสุขภาพหัวใจปีละ 1 ครั้ง รักษาได้ด้วยยาและจี้ไฟฟ้าหัวใจ
เมื่อวันที่ 29 ก.ย. ที่ศูนย์การแพทย์ภัทรมหาราชานุสรณ์ รพ.จุฬาภรณ์ ศ.คลินิก นพ.อดุลย์ รัตนวิจิตราศิลป์ รอง ผอ.รพ.จุฬาภรณ์ กล่าวเปิดงานเสวนา "โรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วอันตรายเกินคาดเสี่ยงสมองขาดเลือด” เนื่องในวันหัวใจโลก 29 ก.ย. ว่า รพ.จุฬาภรณ์ ได้จัดกิจกรรมให้ความรู้ด้านโรคหัวใจมาอย่างต่อเนื่อง ปีนี้เราเน้นเรื่องโรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (Atrial Fibrillation) หรือ AF ซึ่งเป็นหนึ่งในโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่ค่อนข้างสูง และมักจะพบคู่กับภาวะหัวใจขาดเลือด สาเหตุที่หัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว เกิดจากตัวนำสัญญาณของหัวใจ ทำงานผิดจังหวะ ขณะที่หัวใจห้องบนมีหน้าที่เก็บเลือดแล้วส่งไปยังหัวใจห้องอื่นๆ เพื่อสูบฉีดไปเลี้ยงร่างกาย ดังนั้นเมื่อหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วผิดจังหวะก็ไม่สามารถเก็บเลือดส่งได้ ทำให้เลือดที่ส่งไปยังร่างกายน้อยลง เป็นที่มาของอาการหน้ามืด วูบ หรือเหมือนจะเป็นลมที่เป็นสัญญาณของการเกิดโรค แต่อันตรายของหัวใจสั่นพลิ้วมีมากกว่านั้น เพราะยังสามารถทำให้เลือดในหัวใจเกิดการแข็งตัวกลายเป็นลิ่มเลือด เมื่อหลุดออกจากหัวใจไปอวัยวะอื่นๆ ก็จะส่งผลให้เกิดอัมพาต
อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่พอ คือความเสื่อมของหลอดเลือดตามอายุ และเกิดไขมันเกาะในหลอดเลือด จึงมักพบมากในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง ฉะนั้นการป้องกันโรค AF สามารถดูแลโดยหลักพื้นฐานง่ายๆ ทั้งการกินอาหารที่เหมาะกับโภชนาการ ดูแลภาวะอ้วน โรคเบาหวานและหมั่นออกกำลังกาย เพื่อทำให้ระบบท่อประปาของหัวใจแข็งแรง” ศ.คลินิก นพ.อดุลย์ กล่าวและว่า คำแนะนำในการดูแลหัวใจของเราคือการตรวจสุขภาพหัวใจปีละ 1 ครั้ง โดยเฉพาะผู้ที่อายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจด้วย EKG เพื่อหาสัญญาณของโรคหัวใจ และเข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที
ด้าน นพ.ธารา เรืองวีรยุทธ แพทย์เฉพาะทางด้านอายุศาสตร์ โรคหัวใจและหลอดเลือด รพ.จุฬาภรณ์ กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยและทั่วโลกพบผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะสังคมไทยเป็นสังคมสูงอายุ ซึ่งโรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วก็จะพบมากขึ้นในอายุที่เพิ่มขึ้น ระดับนานาชาติก็ให้ความกังวลเรื่องนี้มากขึ้นด้วย ทำให้แพทย์โรคหัวใจทั่วโลกร่วมกันออกแนวทางเวชปฏิบัติ หรือไกด์ไลน์การรักษาต่างๆ ออกมาเพิ่มขึ้น และมีไกด์ไลน์เฉพาะโรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วด้วย การรักษาโรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วในปัจจุบันมี 2 ทางหลักๆ คือ 1.การให้ยา ซึ่งมีข้อดีคือไม่ภาวะแทรกซ้อนน้อยกกว่าการจี้ไฟฟ้า แต่ข้อเสียคือจะต้องกินยาต่อเนื่อง และในบางรายอาจมีผลข้างเคียงจากยา เช่น หัวใจเต้นช้าเกินไป ทำให้เกิดความดันต่ำหรืออาการวูบได้ และ 2.การจี้ไฟฟ้าหัวใจ เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากกว่า มีโอกาสที่หายขาดหรือใกล้เคียงปกติมากกว่าการกินยา แต่ก็มีข้อเสียบ้างแต่พบไม่มาก เช่นหัวใจทะลุ หรือเสียชีวิตจากการจี้ไฟฟ้าหัวใจ อย่างไรก็ตาม การรักษาจะขึ้นอยู่กับแพทย์ผู้ทำการรักษาว่าควรจะปรับใช้วิธีใด ทั้งนี้ โรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว ถ้ารักษาก็มีโอกาสหายขาดได้