อาการเท้าบวม เป็นอาการที่มีภาวะบวมตั้งแต่เท้าขึ้นไปถึงข้อเท้ารวมถึงหน้าแข้งได้ บางภาวะอาจเป็นข้างเดียว บางภาวะก็เป็นทั้งสองข้าง เป็นอาการที่บ่งบอกโรคต่างๆได้
เราจะสังเกตอาการเท้าบวมได้อย่างไร
- มีอาการตึงที่เท้า ร่องรอยย่นของผิวหนังหายไป
- ใส่รองเท้าแล้วคับ ใส่กางเกงแล้วติดขา
- เห็นรอยบุ๋มชัดเจนเมื่อถอดรองเท้าหรือถุงเท้าออก
- เอานิ้วกดอยู่บริเวณหน้าแข้งด้านในแล้วบุ๋มลงไปไม่เด้งกลับมา
สาเหตุที่ทำให้เท้าบวมมีอะไรได้บ้าง
1.โรคหัวใจ ในภาวะหัวใจวายน้ำท่วมปอดจะทำให้มีอาการขาบวมทั้งสองข้างอาจจะมีอาการเหนื่อยนอนราบไม่ได้ต้องใช้หมอนหลายใบร่วมด้วย
2.โรคไต ในภาวะของไตวายเรื้อรังจะมีอาการน้ำเกิน ขาบวมทั้งสองข้างเหนื่อยนอนราบไม่ได้ปัสสาวะออกน้อย ส่วนในภาวะไตอักเสบหรือโปรตีนรั่วในปัสสาวะ จะพบว่าขาบวมทั้งสองข้างอาจพบความดันโลหิตสูง ปัสสาวะเป็นฟองร่วมด้วยได้ ถ้าเป็นมากอาจจะมีอาการบวมของหนังตาบนทั้งสองข้างได้
3.โรคเส้นเลือดดำอุดตันที่ขา มักพบขาบวมข้างใดข้างหนึ่งอาจจะรู้สึกปวดได้ มักพบในคนไข้ที่ไม่ได้ขยับขา คนไข้หลังผ่าตัด คนไข้นอนติดเตียงหรือคนที่รับประทานยาคุมกำเนิดโรคนี้อาจจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ลิ่มเลือดหลุดไปอุดตันเส้นเลือดดำที่ปอดอันตรายถึงชีวิตได้
4.การติดเชื้ออักเสบ การติดเชื้ออักเสบที่เท้าทำให้เท้าบวมมีอาการแดงร้อนและปวดหรือมีไข้ได้ มักเป็นข้างใดข้างหนึ่ง
5.โรคหลอดเลือดดำบกพร่อง ทำให้เลือดไหลย้อนกลับได้ไม่ดีจึงทำให้มีอาการบวมที่ขาข้างที่เป็นได้ โดยเฉพาะการยืนนานๆ
6.ท่อน้ำเหลืองอุดตัน ก็สามารถทำให้เกิดภาวะเท้าบวมได้
7.ยาบางชนิดทำให้เกิดอาการบวมได้ เช่น ยาฮอร์โมนเอสโตรเจนโปรเจสเตอโรน ยาความดันบางชนิด สเตียรอยด์ ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDS) เช่นบรูเฟ่น
8.ภาวะตั้งครรภ์และอาการแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ เช่นภาวะครรภ์เป็นพิษ
9.โรคตับ ภาวะตับแข็งทำให้เกิดอาการบวมในขาทั้งสองข้างได้มักจะพบท้องบวมโตมีน้ำในช่องท้องได้
การวินิจฉัยใช้การตรวจแลปทางห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจเม็ดเลือด การตรวจค่าไต การตรวจปัสสาวะเอกซเรย์ปอด การตรวจค่าตับ การประเมินหัวใจ เมื่อแพทย์ได้วินิจฉัยโรคแล้วก็รักษาตามอาการของโรคนั้นนั้น
ดังนั้นถ้าท่านมีภาวะอาการเท้าบวมสงสัยว่าจะเป็นโรคใดโรคหนึ่งจึงควรมาพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง และควรนำยาที่รับประทานอยู่ทั้งหมดมาพบแพทย์ด้วยเพื่อประเมินว่าอาการบวมนั้นเกิดจากยาหรือไม่
การรักษาเบื้องต้นที่บ้านก็คือ การยกเท้าขึ้นสูง ลดการรับประทานเค็ม ขยับขาบ่อย ๆ
ขอบคุณข้อมูลจาก โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 แอร์พอร์ต