กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก แนะรับประทาน 4 ชาสมุนไพร และ สมุนไพรกลุ่มเครื่องเทศช่วยเพิ่มการเผาผลาญและลดไขมันในเลือด ช่วงเทศกาลตรุษจีน โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคยอดฮิต เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด ยิ่ง
นายแพทย์ขวัญชัย วิศิษฐานนท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า วันตรุษจีน หรือวันขึ้นปีใหม่ตามปฏิทินจีน ในปีนี้ตรงกับวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ในวันดังกล่าวนคนไทยเชื้อสายจีน มักจะเตรียมอาหารและขนมเพื่อไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์และบรรพบุรุษที่ล่วงลับ ซึ่งอาหารส่วนใหญ่มักจะเป็นจำพวกแป้ง เนื้อสัตว์ที่มีไขมันและขนมที่มีปริมาณน้ำตาลสูง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรค อย่างเช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวาน ถ้ารับประทานในปริมาณที่มากอาจส่งผลเสียต่องสุขภาพเกิดอาการของโรคกำเริบได้โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว
ทางกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ขอแนะนำชาสมุนไพร ที่เหมาะจะดื่มในช่วงเทศกาลตรุษจีน เนื่องจากคนส่วนใหญ่มักจะรับประทานอาหารที่มีปริมาณไขมันที่สูงในช่วงนี้ ได้แก่ ชาตรีผลา จากผลการศึกษาวิจัยพบว่า สมุนไพรตรีผล ซึ่งประกอบด้วย ลูกสมอไทย ลูกสมอพิเภก และลูกมะขามป้อมนั้น มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยการกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว และสามารถลดไขมันในเลือดได้ ชาดอกคำฝอย สรรพคุณตามตำราเภสัชกรรมไทย คือ บำรุงร่างกาย บำรุงหัวใจ ส่วนข้อมูลการศึกษาวิจัยมีการรายงานว่า สารสกัดดอกคำฝอย มีฤทธิ์ลดไขมัน ป้องกันการอุดตันของเส้นเลือด ชากระเจี๊ยบ มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ลดความดันและไขมันในเลือด และ ชาดอกกุหลาบ โดยเฉพาะกุหลาบมอญ มีฤทธิ์ขยายหลอดลม ลดน้ำตาลในเลือด ต้านอนุมูลอิสระ สรรพคุณทางยาไทย ใช้บำรุงหัวใจ บำรุงร่างกาย คลายความกังวล ช่วยให้นอนหลับสบาย เป็นต้น
นายแพทย์ขวัญชัย แนะนำเมนูที่ดัดแปลงจากอาหารหลังไหว้ช่วงเทศกาลตรุษจีนว่า ถ้าเป็นเนื้อไก่ ให้เลือกเฉพาะเนื้อส่วนอก เพราะมีไขมันน้อย หากเป็นเนื้อหมูให้เอาเฉพาะเนื้อแดง หลีกเลี่ยงเนื้อติดมัน และถ้าเป็นเนื้อปลา ให้หลีกเลี่ยงพุงปลา โดยให้นำมาปรุงกับสมุนไพรกลุ่มรสเผ็ดร้อน เช่น กระเทียม ขิง พริกไทย กระชาย กะเพรา ฯลฯ เนื่องจากสมุนไพรดังกล่าว มีสารสำคัญเป็นสารกลุ่มน้ำมันหอมระเหย มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยย่อยอาหาร แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และมีส่วนช่วยลดระดับไขมันในเลือดได้เป็นอย่างดี ในส่วนเมนูที่แนะนำ คือ ผัดกะเพรา ไก่ผัดขิง ผัดพริก ต้มยำ แต่หากเป็นเมนูผัดที่ต้องใช้น้ำมันเป็นองค์ประกอบในการปรุงอาหาร ควรใช้แต่น้อย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้ที่รับประทาน
นายแพทย์ขวัญชัย กล่าวในตอนท้ายว่า นอกจากชาสมุนไพรและเมนูอาหารที่แนะนำแล้ว ก็ควรที่จะจำกัด หรือควบคุมการบริโภคอาหารควบคู่ไปกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 3 - 5 วันต่อสัปดาห์ ครั้งละไม่น้อยกว่า 30 นาที เพื่อเพิ่มการเผาผลาญพลังงานจากอาหารรับประทานเข้าไป และเพิ่มความแข็งแรงของระบบต่างๆ ภายในร่างกาย อีกทั้งควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ