แพทย์แนะไวรัส RSVมักระบาดในช่วงหน้าฝน ผู้ปกครองควรเฝ้าระวัง

กรมการแพทย์ โดยสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี แนะให้ผู้ปกครองเฝ้าระวังบุตรหลานของท่าน ในช่วงฤดูฝนนี้เป็นฤดูกาลระบาดของเชื้อไวรัส RSV


นายแพทย์ไพโรจน์ สุรัตนวนิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ เผยว่า RSV (Respiratory Syncytial Virus) เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดการติดเชื้อทางเดินหายใจ สามารถเกิดการติดเชื้อได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ มักพบระบาดในฤดูฝน ไวรัสเข้าสู่ร่างกายผ่านทางตา จมูก ปาก ผ่านการสัมผัสฝอยละอองจากการไอ จามของผู้ป่วยที่ติดเชื้อ RSV การสัมผัสสิ่งแวดล้อมที่ปนเปื้อนสารคัดหลั่งและเชื้อสามารถมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานหลายชั่วโมงและอยู่ที่มือของเราได้นานประมาณ 30 นาที ดังนั้น ผู้ปกครองควรเน้นย้ำให้บุตรหลานล้างมือบ่อยๆ อาการของผู้ที่ติดเชื้อไวรัส RSV มักจะมีอาการน้อยคล้ายไข้หวัดธรรมดา น้ำมูกไหล ไอ จาม มีไข้ แต่ในเด็กเล็กที่อายุน้อยกว่า 1 ปี หรือ ทารกคลอดก่อนกำหนด หรือ ในกลุ่มเด็กที่มีโรคปอดเรื้อรัง โรคหัวใจ ภูมิคุมกันบกพร่อง อาจมีอาการรุนแรงเป็นหลอดลมฝอยอักเสบ และปอดบวม ไข้สูง ไอมีเสมหะ หายใจหอบจนอกบุ๋ม หายใจแรง หายใจลำบาก หรือหายใจมีเสียงวี้ด ซึม ตัวเขียว ในบางรายอาจไอมากจนอาเจียน ไม่สามารถรับประทานอาหารได้ ผู้ปกครองจึงควรสังเกตอาการของลูกอย่างใกล้ชิด หากมีอาการรุนแรงดังกล่าว ควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์


นายแพทย์อัครฐาน จิตนุยานนท์ ผู้ช่วยอธิบดีกรมการแพทย์ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวเพิ่มเติม สำหรับผู้ป่วยเด็กที่มีความเสี่ยงเกิดอาการรุนแรง ได้แก่ เด็กเล็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่เต็มที่ เด็กที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด โรคปอดเรื้อรัง เด็กที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือภาวะทุพโภชนาการ ประเทศไทยยังไม่มียารักษาจำเพาะต่อเชื้อไวรัสชนิดนี้ การรักษาจึงเป็นรักษาตามอาการ ในรายที่มีอาการรุนแรง เช่น กินได้น้อย มีอาการขาดน้ำอาจต้องให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ หรือในรายที่มีภาวะพร่องออกซิเจน จำเป็นต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันRSV โดยตรง ผู้ปกครองสามารถลดความเสี่ยงและป้องกันการติดเชื้อไวรัส RSV ในลูกน้อยได้โดยดูแลสุขภาพให้แข็งแรง หมั่นล้างมือให้สะอาด แยกผู้ป่วย RSV เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น ทำความสะอาดบ้านอยู่เสมอ เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อ สวมหน้ากากอนามัยขณะอยู่ในที่แออัดหรือในที่สาธารณะ ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือเมื่อมีน้ำมูกค้างในโพรงจมูก ดื่มน้ำที่สะอาดในปริมาณที่ควรได้รับ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและพักผ่อนให้เพียงพอ


******************************************
กรมการแพทย์
1 กรกฎาคม 2567