กรมการแพทย์โดยรพ.เมตตาฯ(วัดไร่ขิง) ในการรักษาวัณโรคจำเป็นต้องรับประทานยาต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน เพื่อกำจัดเชื้อวัณโรคให้เด็ดขาด และต้องใช้ยาหลายขนานในการรักษา จึงอาจส่งผลกระทบทำให้เกิดปัญหาต่อเส้นประสาทตาได้ แนะนำผู้ที่รับยาต้านวัณโรคจำเป็นจะต้องได้รับการตรวจตาจากจักษุแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
นายแพทย์ไพโรจน์ สุรัตนวนิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรควัณโรคถือเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขที่สำคัญของโลก โดยเป็นหนึ่งใน 3 โรค อันเป็นเหตุทำให้ประชากรโลกเสียชีวิตมากที่สุดหากนับรวมโรคเอดส์ และโรคมาลาเรีย ในวันที่ 24 มีนาคม ของทุกปี องค์การอนามัยโลกได้กำหนดให้เป็น “วันวัณโรคโลก (WORLD TUBERCULOSIS DAY)” เพื่อให้ความร่วมมือป้องกันควบคุมการแพร่ระบาด รวมถึงรณรงค์ให้ประชาชนเล็งเห็นและตระหนักถึงอันตรายจากวัณโรค โดยในปี 2566 สถานการณ์ผู้ป่วยวัณโรคในประเทศไทยประมาณการจำนวนผู้ป่วยวัณโรครายใหม่ 111,000 คน แต่มีการรายงานการขึ้นทะเบียนรักษาเพียง 72,274 คน และเสียชีวิตจากวัณโรค ปีละ 13,700 คน
นายแพทย์อาคม ชัยวีระวัฒนะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) กล่าวว่า วัณโรคเป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ติดต่อจากคนสู่คนผ่านอากาศ โดยเมื่อผู้ป่วยไอ จาม ไม่ปิดปากทำให้เกิดละอองฝอย ผู้อยู่ใกล้สูดหายใจเอาละอองฝอยที่มีเชื้อวัณโรคเข้าสู่ร่างกายจึงทำให้เกิดการติดเชื้อและป่วยได้ อาการสำคัญของ วัณโรคปอด คือ ไอแห้งๆ ติดต่อเกิน 2 สัปดาห์ ไอมีเสมหะปนเลือด อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น น้ำหนักลด เจ็บหน้าอก ไข้ต่ำๆ วิธีการตรวจวินิจฉัยโรค โดยการเอ็กซเรย์ปอด และตรวจเสมหะหาเชื้อวัณโรค วัณโรคสามารถรักษาหายได้ ด้วยยารักษาที่มีประสิทธิภาพสูง เช่นยาอีแทมบูทอล เนื่องจากการใช้ยาต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานอาจส่งผลข้างเคียงต่อเส้นประสาทตา จำเป็นต้องได้รับการตรวจตาอย่างสม่ำเสมอ
แพทย์หญิงปิยวดี ชัยมงคลตระกูล หัวหน้าหน่วยประสาทจักษุ กล่าวเสริมว่า ภาวะเส้นประสาทตาเสื่อมจากยาอีแทมบูทอลมักเกิดขึ้นที่ตาทั้งสองข้างโดยมีลักษณะตามัวตรงกลางภาพและมัวลงแบบช้าๆโดยไม่มีอาการปวดร่วมด้วย มักเกิดภายหลังได้รับยาอีแทมบูทอลประมาณ 2-8 เดือน โดยในระยะแรกอาจ พบมีการมองเห็นภาพสีผิดปกติ (color vision deficiency) หรือมีความสามารถในการแยกความต่างของความมืดและสว่าง (contrast sensitivity) ลดลง ในระยะต่อมาผู้ป่วยจะมีระดับการมองเห็นลดลงและมีความผิดปกติของลานสายตา ทั้งนี้ในระยะเริ่มแรกของโรคอาจตรวจไม่พบความผิดปกติของขั้วประสาทตา โดยสามารถตรวจพบลักษณะขั้วประสาทฝ่อได้ในระยะต่อมา และอาจตรวจพบลานสายตาผิดปกติแบบตาบอดครึ่งซีกคู่นอกได้ ซึ่งในปัจจุบันยังไม่สามารถอธิบายถึงกลไกการเกิดเส้นประสาทเสื่อมจากยาอีแทมบูทอลได้อย่างชัดเจน เชื่อว่าเกิดจากยาอีแทมบูทอลแย่งจับกับธาตุทองแดงทำให้การทำงานของเส้นประสาทตาลดลงและทำให้เกิดการฝ่อของเส้นประสาทตา (optic atrophy) ตามมา เพราะการเกิดภาวะข้างเคียงจากยาอีแทมบูทอลสัมพันธ์กับปริมาณยาอีแทมบูทอลที่ผู้ป่วยได้รับโดยพบว่า ผู้ป่วยที่ได้รับยาอีแทมบูทอล น้อยกว่าหรือเท่ากับ15 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน พบภาวะเส้นประสาทตาเสื่อมได้ 1 % และพบได้สูงถึง ประมาณ 30 % ในผู้ป่วยที่ได้รับยาอีแทมบูทอล 35 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน ผู้ที่เกิดภาวะข้างเคียงต่อเส้นประสาทตาจากยาอีแทมบูทอลควรหยุดยาอีแทมบูทอลโดยการพิจรณาของอายุรแพทย์ อย่างไรก็ตามภาวะข้างเคียงต่อเส้นประสาทตาจากยาอีแทมบูทอลอาจมีความรุนแรงมากขึ้นภายหลังหยุดยาอีแทมบูทอลแล้ว 1-2 เดือน ในปัจจุบันยังไม่มีแนวทางในการตรวจติดตามผู้ที่ได้รับยาอีแทมบูทอลอย่างชัดเจน ทั้งนี้ในผู้มีความจำเป็นต้องใช้ยาอีแทมบูทอลควรตรวจคัดกรองภาวะข้างเคียงเป็นระยะหรือเมื่อมีอาการผิดปกติทางการมองเห็น เช่น ตามัวลง ควรพบจักษุแพทย์
22 ตุลาคม 2567