รู้จักปากกาลดน้ำหนักที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เสนอให้อยู่ในบัญชียาระบบประกันสุขภาพ

"จากการที่รัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน เสนอให้ปากกาลดน้ำหนักอยู่ในบัญชียาระบบประกันสุขภาพ Medicare และ Medicaid ซึ่งมีราคาสูง เพื่อแก้ปัญหาโรคอ้วนในสหรัฐฯ ที่ชาวอเมริกันหลายล้านคนประสบปัญหาอยู่"

ทั้งนี้ ปากกาลดน้ำหนักถือว่าสามารถช่วยลดน้ำหนักได้อย่างรวดเร็ว โดยในช่วง 1 เดือนแรก จะทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้ประมาณ 4-6 กิโลกรัม โดยผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับการตอบสนองต่อตัวยาของร่างกายในแต่ละบุคคล ซึ่งได้รับความนิยมในคนรวยในสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก แต่ทั้งนี้ปากกาลดน้ำหนักจะเข้าสู่ระบบประกันสุขภาพ Medicare และ Medicaid หรือไม่ต้องรอจนกว่านายทรัมป์เข้ารับตำแหน่งในช่วงเดือนมกราคมเสียก่อน


ปากกาลดน้ำหนัก คืออะไร ?
“ปากกาลดน้ำหนัก” เป็นนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยควบคุมน้ำหนักในรูปของปากกาสำหรับฉีดยา โดยในปี ค.ศ.2014 องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกาได้รับรองยาที่ชื่อ Liraglutide ชนิดฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ไว้ใช้สำหรับลดน้ำหนัก ซึ่งกลไกการทำงานของยาที่ได้จากปากกาลดน้ำหนักนั้นเป็นดังนี้
- ยานี้เป็นยาเลียนแบบฮอร์โมนอิ่ม GLP-1 (Glucagon Like Peptide 1) โดยตัวยามีความใกล้เคียงกับ GLP-1 ที่มีอยู่ตามธรรมชาติในร่างกายถึง 97%
- ยานี้จะช่วยลดการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้ อาหารที่รับประทานเข้าไปนั้นย่อยช้าลง ช่วยให้อาหารอยู่ในกระเพาะนานขึ้น จึงรับประทานอาหารได้น้อยลง
- ยามีฤทธิ์ต่อสมอง ทำให้ไม่รู้สึกหิว ความอยากอาหารลดน้อยลง และทำให้ควบคุมการรับประทานได้ดีขึ้น
- กระตุ้นให้ตับอ่อนหลั่งฮอร์โมนอินซูลินมาช่วยปรับสมดุลระดับน้ำตาลในเลือด โดยไม่ทำให้น้ำตาลตก หรือวูบ เพราะยาจะออกฤทธิ์ก็ต่อเมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไปแล้วเท่านั้น
ยา Liraglutide ในรูปแบบปากกาลดน้ำหนัก มักใช้หัวเข็มขนาดเล็กมาก โดยมีวิธีใช้งานตามที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแนะนำไว้ ดังนี้
-ฉีดยาเข้าชั้นไขมันใต้ผิวหนัง บริเวณหน้าท้อง ต้นขา หรือต้นแขนที่มีไขมันมากๆ แต่บริเวณอื่นๆ อาจฉีดยากกว่าบริเวณหน้าท้อง
-สามารถฉีดยาเวลาใดก็ได้ ได้ทั้งก่อนและหลังอาหาร แต่แนะนำให้เป็นเวลาที่สามารถฉีดเป็นประจำได้ทุกวันและไม่ลืม โดยส่วนมากแพทย์จะแนะนำให้ฉีดช่วงเช้าหลังตื่นนอน หรือกลางคืนก่อนนอน
-ฉีดยาทุกวัน วันละ 1 ครั้ง ห้ามลืม เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ในการลดน้ำหนักได้ดีที่สุด หากลืมอาจจะทำให้ได้รับปริมาณยาที่ลดลง และผลของการลดน้ำหนักลดลง
-ฉีดยาต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์ ซึ่งไม่มีกำหนดตายตัวว่าจะต้องหยุดยาเมื่อไหร่ โดยจะขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ของผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักต้องการ เช่น หากใช้แล้วน้ำหนักลดลงตามที่ต้องการแล้ว แต่ค่า BMI ยังเกินมาตรฐานอยู่ ก็สามารถใช้ต่อเนื่องได้หากต้องการ หรือหยุดใช้ได้เพราะได้ตัวเลขน้ำหนักที่พอใจแล้ว
การใช้ปากกาลดความอ้วนนั้นไม่เจ็บ เนื่องจากเข็มที่มีขนาดเล็กมาก โดยการฉีดครั้งแรกแพทย์จะเป็นผู้สอนการใช้และจะจับมือฉีดให้ลองใช้เอง เพื่อให้สามารถฉีดได้เองในครั้งต่อไป


ปากกาลดน้ำหนักเหมาะกับใคร ?
- คนที่มีภาวะน้ำหนักเข้าเกณฑ์โรคอ้วน คือ มีดัชนีมวลกาย BMI เกิน 30 kg/m2
- คนที่มีภาวะน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐานดัชนีมวลกาย BMI เกิน 27 kg/m2 หรือมีปัญหาสุขภาพ มีโรคประจำตัวหรือภาวะต่างๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ไขมันเกาะตับ
- คนที่อยู่ในช่วงลดน้ำหนักและต้องการตัวช่วยที่มีประสิทธิภาพ
- คนที่ต้องการปรับพฤติกรรมการรับประทาน เช่น รับประทานมากไป รับประทานจุบจิบ
- คนที่ต้องการหาวิธีลดน้ำหนักอย่างปลอดภัย อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
- คนที่ลดน้ำหนักด้วยวิธีอื่นๆ แล้วยังไม่เห็นผล


ทั้งนี้ กลไกหลักของปากกาลดน้ำหนักเน้นการควบคุมปริมาณแคลอรีที่เข้าสู่ร่างกาย จึงอาจไม่เหมาะกับคนที่รับประทานน้อย หรือไม่ชอบรับประทานจุบจิบ เพราะจะยิ่งทำให้รับประทานได้น้อยลงไปอีก จนอาจส่งผลให้ร่างกายได้รับปริมาณแคลอรีไม่เพียงพอ


โดยปากกาลดน้ำหนักนี้ไม่แนะนำให้ใช้ในผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร แม้จะไม่มีข้อมูลว่าสามารถใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี หรือผู้สูงอายุที่อายุมากกว่า 75 ปี และผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 1 ก็ตาม แต่บุคคลในกลุ่มนี้แนะนำว่าไม่ควรใช้ และห้ามใช้ในผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง ไทรอยด์ ผู้ที่มีภาวะตับอ่อนอักเสบ และอย่างไรก็ตามก่อนการใช้ปากกาลดน้ำหนัก แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มการใช้ยาทุกครั้ง

 


ที่มา : โรงพยาบาลวิมุต


ขอขอบคุณแหล่งที่ของข้อมูล :https://www.tnnthailand.com/news/health/182319/