บุกเบิกเทคนิคกระตุ้นรักษาความผิดปกติในระบบประสาท

Indiana University School of Medicine, ScienceDail

นักวิจัยพัฒนาเทคนิคใหม่กระตุ้นสมองโดยไม่รุกล้ำเพื่อรักษาความผิดปกติทางระบบประสาทต่าง ๆ ได้แก่ อาการปวด ภาวะบาดเจ็บที่สมอง (traumatic brain injury: TBI)  โรคลมชัก (epilepsy) พาร์กินสัน  อัลไซเมอร์ และโรคอื่น ๆ
     “จากการใช้การกระตุ้นสมองเพิ่มขึ้นในการศึกษาสมองของมนุษย์และการรักษาโรคทางระบบประสาท การวิจัยนี้ก่อให้เกิดผลดีอย่างมากต่อแพทย์และผู้ป่วย” Dr. Xiaoming Jin รองศาสตราจารย์สาขากายวิภาคศาสตร์ ชีววิทยาเซลล์ และสรีรวิทยา กล่าว
    เมื่อผู้ป่วยประสบกับการบาดเจ็บที่สมอง เส้นประสาท หรือการเสื่อมของระบบประสาท เช่น โรคลมชัก (epilepsy) และภาวะบาดเจ็บที่สมอง (TBI) จะมีความเสียหายต่อสมองเกิดขึ้น ซึ่งสามารถนำไปสู่การสูญเสียและความเสียหายของเส้นประสาทหรือเซลล์ประสาท และการเกิดความไวของเซลล์ในระบบประสาท (hyperexcitability) ซึ่งเอื้อต่อการเกิดความผิดปกติทางระบบประสาทบางอย่าง เช่น อาการปวดเหตุพยาธิสภาพประสาท (neuropathic pain) และโรคลมชัก
 “การรักษาที่ปฏิบัติกันมาส่วนใหญ่จะพยายามยับยั้ง hyperexcitability” Dr. Jin กล่าวและว่า “แต่เราพบว่าความเสียหายเริ่มแรกของสมองหรือระบบเส้นประสาทมีสาเหตุจากการสูญเสียเนื้อเยื่อสมอง ซึ่งเป็นเหตุให้ระบบประสาททดแทนการสูญเสียของการทำหน้าที่ด้วยการทำงานหนักขึ้น ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องกระตุ้นการทำงานเเทนที่จะไปยับยั้ง”

     ตามรายงานที่เผยแพร่ใหม่ใน Neurotherapeutics กล่าวว่า เทคนิคนี้ใช้อนุภาคนาโนแม่เหล็กไฟฟ้า (magnetoelectric nanoparticles) ชนิดใหม่ ซึ่งสามารถส่งอนุภาคนี้ไปที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของสมองโดยการใช้สนามแม่เหล็ก  จากนั้นอนุภาคสามารถส่งคลื่นแม่เหล็กออกไปกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทในสมองส่วนนั้น  วิธีนี้จะไม่มีการล่วงล้ำเข้าร่างกาย เป็นวิธีที่ดีสำหรับกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนลึกและมีประสิทธิภาพกว่าวิธีการแบบเดิมในการกระตุ้นสมอง โดยไม่จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนทางพันธุกรรม
    “นี่คืออนุภาคนาโนชนิดใหม่ที่ช่วยให้เราสามารถกระตุ้นสมองได้อย่างมีประสิทธิผล โดยไม่ต้องใช้หัตถการรุกล้ำร่างกาย” Dr. Jin กล่าว “เราสามารถฉีดอนุภาคนาโนเป็นสารละลายเข้าทางหลอดเลือดดำและนำอนุภาคไปที่ส่วนใดของร่างกายก็ได้ เมื่อคุณใช้แม่เหล็กวางบนศีรษะ คุณสามารถส่งอนุภาคนาโนไปยังบริเวณสมองที่เป็นเป้าหมายได้”
    คณะทำงานได้พัฒนาเทคนิคนี้เป็นเวลา 5 ปี โดยร่วมมือกับ University of Miami และหวังที่จะเริ่มศึกษาวิธีการนี้ในมนุษย์ในอีก 2 ถึง 3 ปีข้างหน้า