ศาสตร์ต้าน 'ความแก่' กฎเหล็กเสริมภูมิต้านทานความแก่

ศาสตร์ต้านความแก่
แม้ เกิด แก่ เจ็บ จนตายจะเป็นเรื่องธรรมดา แต่คราวหนึ่งผมไปพูดให้ผู้สนใจดูแลสุขภาพฟัง…….
“ใครอยากแก่บ้างยกมือขึ้น”
หลบกันวูบวาบไม่มีใครยอมสบตาผมสักคน ผมเปลี่ยนคำถามเป็น….
“ใครแก่แล้วบ้าง ยกมือขึ้น”
คราวนี้ผมเจอค้อนไปหลายวงเลยครับ
แก่ เฒ่า ชรา สูงวัย วัยดึก สารพัด ถ้อยคำบาดหัวใจที่มีความหมายเข้าใจกันเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือ เรื่องของความเสื่อมที่ถูกขับเคลื่อนด้วยกาลเวลา


ด้วยผมที่ขาว หนังที่เหี่ยวยืดยาน ตาที่ฝ้าฟาง หรือฟันที่หลุดไปก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ควรเกิดขึ้น แม้แต่ทางการแพทย์เราจะไป “ชะลอ” มันไปได้บ้าง ในที่สุดก็หนีไม่พ้น การเปลี่ยนแปลงต่างๆ เหล่านี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงภายนอกที่เราสัมผัสได้ด้วยตาทั้งสิ้น…. แต่ภายในที่เรามองไม่เห็นล่ะ?


อายุเท่าไหร่จึงจะเข้าข่ายแก่ ถ้าอ้างอิงตามที่หมออายุรกรรมผู้สูงอายุวัยบอก ก็คือ ใครอายุเกิน 60 ปี (มีคนแอบหลบตามองต่ำอยู่หลายคน) ยินดีด้วยครับ คุณคือคนแก่แล้ว


อายุทางวิชาการ เราแบ่งเป็น 2 รูปแบบ คือ อายุชีวภาพ (Bio- logical Age) และอายุที่แท้จริง (Chronological Age) อายุชีวภาพ หมายถึง อายุการทำงานตั้งแต่หน่วยงานเล็กอย่างเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย ไปจนกระทั่งหน่วยงานใหญ่ ซึ่งก็คืออวัยวะทั้งหลายว่ายังกระชุ่มกระชวยทำงานประสานกันแข็งขันเทียบเท่าได้เท่ากับอายุเท่าไหร่ อายุชีวภาพนี้เองที่แสดงออกมาภายนอก ประกาศ (หรือประจาน) ให้คนทั่วไปเห็นว่า แก่หรือไม่แก่


ส่วนอายุที่แท้จริง ก็คือ อายุที่นับกันเป็นปีนั่นเอง (เป็นแค่ตัวเลข ! ! ! )


ผมอยากเพิ่มเติมให้ว่า ถ้ามีอายุอีกประเภท คืออายุที่เราได้มาจาก “กรรม” ที่กำหนดมาแล้วแต่เกิดอีกประเภทหนึ่งที่จะทำให้เรามีอายุ 1 วัน หรือมากกว่า 100 ปี ซึ่งอายุนี้ก็ยังขึ้นกับว่า เราจะใช้ “กาย” และ “ใจ” ได้ดี ดูแลมันถูกต้องไหมอีกด้วย


ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดๆ ผู้ชายคนหนึ่ง อายุค่อนไปทางเลขเกือบ 50 (อายุที่แท้จริง = เกือบแก่) แต่ยังคึกคักแจ่มใส ดูอย่างไรก็เหมือนหนุ่มวัย 30 ปลายๆ (อายุชีวภาพ = ยังไม่แก่) เหมือนผมเป็นต้น


“วิทยาการว่าด้วยวิธีชะลอความแก่” อาจทำให้หลายคนที่ได้ยินตาโตเป็นประกายขึ้นมาทันใด เพราะเข้าใจว่าเป็นวิธีเปลี่ยนความเหี่ยวย่นให้กลับเต่งตึง จริงอยู่ที่ว่า “สังขารเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง” แต่ถ้าสังขารนั้นทรุดโทรมโรยราเสียจนส่องกระจกครั้งใดฝันร้ายทุกทีแบบนี้ก็ทำใจได้ยาก นี่ยังไม่นับการสร้างมลภาวะทางสายตาสู่สังคมและคนที่นอนข้างๆ อีกด้วย


ดังนั้น เราจึงโชคดีแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 หมอฝรั่งกลุ่มหนึ่งทุมเทศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาศาสตร์ต้านความชรา (Anti-Aging Medicine) จนปัจจุบันศาสตร์ที่ว่ากลายเป็นวิชาเฉพาะทางที่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนมากมายยืนยันว่า มีวิธีทำให้คนเราแก่ (เสื่อมทางกาย) ช้าลงและตายยากขึ้นได้ แต่อย่าลืมว่าจะตายเมื่อไรนั้นถูกกำหนดมาแล้วโดย “กรรม” เราจะทำได้คือจะทำให้เรามีสุขภาพดี และดูดี รู้สึกดี ไปจนถึงเวลา จะสั้นหรือยาว ตามเวลาที่ “กรรม”กำหนด


Anti-Aging Medicine ที่บัญญัติเป็นคำไทยว่า “เวชศาสตร์อายุรวัฒน์” แท้จริงแล้วไม่ใช่เพียงวิชากำจัดความเหี่ยว แต่เป็นศาสตร์ว่าด้วยการป้องกันโรคและชะลอความเสื่อมถอยที่จะเกิดกับวัยสูงอายุ ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้ผู้สูงวัยหรือกำลังจะสูงวัย มีชีวิตยืนยาวและมีคุณภาพชีวิตที่ดี


ทฤษฎีว่าด้วยสาเหตุความแก่มีมากมาย อ่านแล้วอาจจะแก่ก่อนวัยเลยขออนุญาตไม่พูดถึง ข้ามไปภาคปฏิบัติเลยดีกว่า สารพัดวิธีที่ใช้กันอยู่และพยายามศึกษาค้นคว้ากันต่อไปคือ การเสริมสารอาหารและให้ฮอร์โมนทดแทน การต้านอนุมูลอิสระ การทำดีท็อกซ์ การใช้นาโนเทคโนโลยีของวิชาวิทยาศาสตร์จัดการกับยีนที่เป็นเหตุของโรคและความแก่ การใช้เซลล์ต้นกำเนิด การออกกำลังกายเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ การทรงตัวและความแข็งแรงของหัวใจ การนอนพักผ่อนที่เพียงพอ และการทำสมาธิภาวนา ฯลฯ

 ผมขอสรุปหลักปฏิบัติเบื้องต้นซึ่งเป็นกฎเหล็กเสริมภูมิต้านทานความแก่ดังนี้


กฎข้อที่ 1 ทำอย่างไรก็ได้ให้เครียดน้อยที่สุด
ดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดให้น้อยลง หยุดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงมลพิษ สารเคมีตกค้างปนเปื้อนทุกชนิด เท่าที่เป็นไปได้ และจำไว้ว่า อัลตราไวโอเลตในแสงแดดเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งสำหรับใครที่ไม่อยากหน้าเหี่ยว การปฏิบัติสมาธิ และวิปัสสนาแบบไทย, แบบพุทธ ช่วยได้มากในเรื่องนี้อีกด้วย


กฎข้อที่ 2 กินให้น้อยลง (กินอย่างพอเพียง)
หมายถึง ลดจำนวนแคลอรีของอาหารที่กินในแต่ละวัน แต่กินให้ได้สารอาหารครบถ้วน มีสัตว์ทดลองมากมายที่ตายไปพร้อมให้ข้อสรุปที่เป็นประโยชน์กับเราว่า สัตว์ที่กินอาหารแบบจำกัดแคลอรี จะอายุยืนกว่าสัตว์กลุ่มที่กินไม่ยั้ง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีข้อมูลสนับสนุนว่าผู้สูงอายุมีไตปกติ ควรเลือกรับประทานอาหารมากโปรตีน ให้มากเพียงพอด้วย


กฎข้อที่ 3 เรื่องอาหารที่จะกิน
หลักการคือ กินอาหารหลัก (Macronutrients) ซึ่งก็คือคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมันที่มีประโยชน์ให้พอดี เข้าสูตรเศรษฐกิจพอเพียง และ
- กินอาหารที่ผ่านกระบวนการ (Processed Food) น้อยที่สุด อาหารสำเร็จรูปหรือกึ่งสำเร็จรูปมักสูญเสียคุณค่าทางอาหารที่สำคัญไปมากมายระหว่างการผลิต แถมยังมีสารปรุงแต่ง สารเคมีกันเสียและรักษาสภาพที่มีผลต่อการทำงานระดับเซลล์ กินบ่อยเข้า เซลล์ร่างกายก็จะทรุดโทรม
- กินธัญพืช ข้าวกล้องที่มีใยอาหารสูง ผักสดที่สะอาดปราศจากเชื้อโรคและยาฆ่าแมลง ผลไม้ที่กินต้องไม่หวานจัด อาหารกลุ่มนี้ลดการสะสมคราบตะกอนในลำไส้ และให้สารต้านอนุมูลอิสระ (อนุมูลอิสระคือ สารที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายเผาผลาญอาหารหรือผจญกับมลพิษ ทำตัวประหนึ่งกองโจรตระเวนปล้นฆ่าตามที่ต่างๆ ในร่างกาย ทำลายความเป็นหนุ่มสาวของเซลล์และของเราเสียสิ้น)
- กินเนื้อสัตว์ที่มีไขมันแต่น้อย เน้นปลาสลับกับโปรตีนจากพืช เช่น ถั่วและธัญพืชไม่ขัดขาวชนิดต่างๆ ผักหลายชนิดก็มีกรดอะมิโนที่มีคุณสมบัติเทียบเท่าโปรตีน เช่น หน่อไม้ฝรั่ง บรอกโคลี แต่ต้องได้ปริมาณโปรตีนโดยรวมต่อวันให้มากพอที่จะไม่ให้กล้ามเนื้อลีบไปด้วยนะครับ
- กินไขมันที่มีประโยชน์ เช่น น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกคำฝอย ซึ่งเป็นแหล่งวิตามินอีที่สำคัญ ส่วนอาหารที่ทอดในน้ำมันใช้ซ้ำซากอย่างปาท่องโก๋ กล้วยทอด ไก่ทอดทรงเครื่อง หมูทอดรสเด็ด ทั้งหลายนั่นแสนจะอุดมไปด้วยสารก่อมะเร็ง ลุ้นกันเองก็แล้วกันครับว่า จะแก่(ไว) ตายหรือจะเป็นมะเร็งตาย
- ดื่มน้ำเปล่าเยอะๆ ไม่ใช่น้ำหวาน น้ำอัดลม หรือน้ำผลไม้ที่คั้นเอากากทิ้งไป


กฎข้อที่ 4 เสริมสารอาหารที่ร่างกายต้องการน้อยแต่จำเป็น (Micronutrients)
ซึ่งก็คือบรรดาวิตามิน แร่ธาตุ กรดอะมิโนบางชนิด และสารต้านอนุมูลอิสระ เหตุเพราะโอกาสที่ทุกๆ วันเราจะต้องได้รับสารอาหารเหล่านี้ครบถ้วนและพอเพียงต่อความต้องการของร่างกายในระดับป้องกันความแก่นั้นน้อยมาก โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากขึ้น มีการศึกษามากมายที่ยืนยันว่า คนที่กินวิตามินรวมและแร่ธาตุทุกวัน (ร่วมกับอาหารปกติครบหมู่) มีความแข็งแรงของร่างกายโดยรวมดีกว่า และป่วยน้อยกว่าคนที่ไม่ได้กิน ที่ขาดไม่ได้เด็ดขาดถ้ากลัวเหี่ยวคือ สารต้านอนุมูลอิสระ นั้นคือ วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี เบต้าแคโรทีน โคเอนไซม์คิวเทน


อื่นๆ ที่เหลือเป็นวิตามินกลุ่มชะลอความเสื่อมและความฟิตของอวัยวะ ผมหมายถึงสมองและระบบประสาท ดวงตา หัวใจ กล้ามเนื้อกระดูก นั่นก็คือ วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 สังกะสี ซีลีเนียม แมกนีเซียม กรดโฟลิก แมงกานีส แคลเซียมบวกวิตามินดี เท่าที่มีรายงานทางการแพทย์รับรอง รักชอบตัวไหนก็หามากินกันหรือจะลองเป็นแบบวิตามินรวมก่อนก็ได้ แต่ถ้ามีโรคประจำตัวอยู่เดิม หรือไม่แน่ใจ คงต้องถามหมอประจำตัว (ที่รู้จริง) ก่อน ว่ากินได้ไหม ควรกินมากน้อยเท่าไร เพราะบางชนิดกินมากไปก็มีโทษเช่นกัน เดี๋ยวจะหาว่าผมไม่เตือน… โดยเฉพาะในฐานะที่เป็นหมอหัวใจ เรามีข้อมูลว่าการกินวิตามินเสริมบางชนิดขนาดมากๆ จะส่งผลต่อหัวใจโดยตรงด้วย


สารอาหารหรือกรดอะมิโนอื่นๆ ที่ชื่ออาจจะคุ้นหูบ้างไม่คุ้นหูบ้าง มีการศึกษาแล้วว่าได้ผล เช่น N-acetylcysteine , Glutathione, L-carnosine, Alpha-Lipoic Acid, Dimethylethanolamine ฯลฯ และก็มีบางตัวที่ผลิตออกมาขายกันแล้ว เห็นกันบ่อยๆ ที่ขายผ่านอินเทอร์เน็ต คงต้องศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมให้ดีก่อนใช้ โดยการปฏิบัติส่วนตัว วิตามิน อาหารเสริมเหล่านี้ผมจะกินๆหยุดๆไม่กินต่อเนื่องไปตลอด


ส่วนประเด็นที่กำลังฮือฮาเป็นที่น่าสนใจตอนนี้คือ การใช้ฮอร์โมนเพื่อการเจริญเติบโต (Human Growth Hormone) ทั้งในแบบฉีด เม็ดสำหรับกิน หรือสเปรย์สำหรับพ่น เชื่อกันว่าได้ผลในแง่ทำให้แก่ช้า เพิ่มกล้ามเนื้อ ปรับสภาพอารมณ์และเสริมพลังชีวิตรวมทั้งพลังทางเพศ ช่วยให้หลับสบาย ฯลฯ ผลเสียก็มี น่ากลัวด้วย มีรายงานว่า มีคนเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว ความดันโลหิตสูง ขาบวม ปวดข้อและกล้ามเนื้อ ท้องอืด ฯลฯ หลังทดลองใช้ยาเองโดยพลการ เรื่องนี้แนะนำอย่างจริงจังที่ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ครับ


ฮอร์โมนอีกตัวหนึ่งคือ เมลาโทนิน ที่ถูกนำมาใช้แล้วในแง่ช่วยการนอนหลับและแก้ปัญหาความอ่อนล้าหรือง่วงนอนจากการเดินทางข้ามเส้นเวลาด้วยเครื่องบิน แต่ความลับที่แสนมหัศจรรย์ก็คือ เมลาโทนินนั้นเป็นฮอร์โมนของคนวัยอ่อน เมื่อนำมาใช้กับคนแก่จึงเกิดปรากฏการณ์ “ย้อนวัย” เป็นที่ตื่นตะลึง แต่ต้องรอการศึกษาที่แน่ชัดถึงผลดีและผลเสียอีกสักระยะ


กฎข้อที่ 5 การออกกำลังกาย
ขออธิบายข่าวคราวในตอนนี้ว่า เรื่องนี้สำคัญที่สุด (ถ้ามีโอกาสต้องขอขยายความในโอกาสต่อไป) ปัจจุบันเราเน้นความสำคัญของมวลกล้ามเนื้อของผู้สูงอายุที่ต้องออกกำลังกายให้ครบทุกแบบด้วยการเคลื่อนไหว ต้านแรงต้าน (Resistant Training) เช่น การยกน้ำหนักเบาๆ และการฝึกการทรงตัว การยืดหยุ่นตัวของกล้ามเนื้อและกระดูกเส้นเอ็นต่างๆ ซึ่งอันนี้อาจฝึกได้ด้วยการทำการยืด (Stretching) ที่ถูกวิธี หรือฝึกโยคะ เป็นต้น


การออกกำลังทั้ง 2 ประเภท (การเคลื่อนไหวต้านแรงต้าน และการยืดคลายกล้ามเนื้อ พร้อมฝึกการทรงตัว) นั้นต้องทำควบคู่ไปกับการออกกำลังกายเพื่อความแข็งแรงของหัวใจ (ที่หยุดไปเมื่อไหร่ คือ ตาย !!!!) และหลอดเลือด ที่เรียกว่าการออกกำลังกายแบบแอโรบิก


อย่างไรก็ตาม พึงระลึกไว้ว่า แม้เราไม่อาจย้อนเวลา แต่เราสามารถทำให้นาฬิกาอายุเดินช้าลงได้ด้วยตัวของเราเอง ตัวเลขอายุมากไม่ว่า แต่อย่าปล่อยให้ความเป็นหนุ่มสาว “หลบใน”


สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสแก่พระอานนท์ในช่วงท้ายก่อนเสด็จปรินิพพานว่า
“อานนท์ ผู้อบรมอิทธิบาท 4 มาอย่างดีแล้ว ทำจนแคล่วคล่องแล้วอย่างเรานี้ถ้าปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ถึง 1 กัปป์ หรือ 120 ปี ก็สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้”


เคยมีนักวิทยาศาสตร์นำเซลล์ของมนุษย์ไปเลี้ยงไว้ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะที่สุด ทั้งอาหาร อุณหภูมิ ไม่มีการติดเชื้อ เซลล์ดังกล่าวมีอายุต่อเนื่องกันได้ประมาณ 120 ปี ช่วงพอดีใกล้เคียงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้กว่า 2,500 ปีก่อน ถ้าวิทยาศาสตร์ยังหาคำตอบให้ไม่ได้ ก็ “อิทธิบาท 4” นี้แหละครับที่จะทำให้เราอายุยืนถึง 120 ปี และอยู่อย่างมีสุขภาพ คุณภาพชีวิต (กายและใจ) ที่ดี

 


ขอขอบคุณ : ศ.นพ. นิธิ มหานนท์  อายุรแพทย์หัวใจ สวนสุขภาพอรุณสหคลินิก


ขอขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล : https://arunhealthgarden.com/eldpre/6270/